Skip to main content

ในวันนี้ 21 ม.ค. 2562 เป็นวันครบรอบ 4 ปี หลังศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ บีทีเอสต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี (นับจาก 21 ม.ค. 2558) ThisAble.me  จึงอยากชวนคุณย้อนดูความเป็นมาเรื่องการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟฟ้าบีทีเอสตั้งแต่กลุ่มคนพิการเริ่มลุกขึ้นต่อสู้ในปี 2534 ซึ่งนับเป็น 27 ปีที่ยาวนาน และเหน็ดเหนื่อยสำหรับเครือข่ายคนพิการและผู้ที่เกี่ยวข้อง 

พ.ศ.2534 - 2542

ย้อนไปตั้งแต่ปี 2534 ที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ขณะนั้น และบีทีเอสทำสัญญาสัมปทานก่อสร้างบีทีเอส ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายด้านคนพิการมาบังคับระเบียบข้อบังคับต่างๆ ในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ จนเมื่อปี 2538 -  2542 หลังบีทีเอสร่วมลงชื่อในสัญญาก่อสร้างแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จ และเริ่มก่อสร้าง คนพิการจำนวนมากรวมตัวและร้องเรียน กทม.เนื่องจากไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในแบบก่อสร้าง ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 ซึ่งกำหนดลักษณะของอาคารสถานที่ ยานพาหนะหรือบริการสาธารณะอื่นใด ที่กำหนดว่า ต้องอำนวยความสะดวกแก่คนพิการที่ออกมาช่วงปี 2542 จนกระทั่งบีทีเอสเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2542

กทม.จึงสนับสนุนงบ 45 ล้านบาทติดตั้งลิฟต์ 5 จาก 21 สถานี

พ.ศ.2542

5 ธ.ค.2542
บีทีเอสเปิดให้บริการ

พ.ศ.2552

22 ก.ย.2552
ศาลปกครองกลาง มีคำสั่ง "ยกฟ้อง" กรณีคนพิการนำโดย สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ฟ้องกรุงเทพมหานคร และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในรถไฟฟ้าบีทีเอส

21 ต.ค.2552
กลุ่มคนพิการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด จากกรณีไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในรถไฟฟ้าบีทีเอส

พ.ศ.2557

31 ก.ค.2557
กทม.ลงนามจ้างเหมาก่อสร้างและติดตั้งลิฟต์กับบริษัทเสรีการโยธา จำกัด

พ.ศ.2558

21 ม.ค. 2558
ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้กรุงเทพมหานคร และรถไฟฟ้าบีทีเอส ดำเนินการติดตั้งลิฟต์ทั้ง 23 สถานี และจัดสิ่งอำนวยความสะดวก (อ่านที่นี่) ทั้ง 23 สถานี ภายใน 1 ปีนับแต่มีคำสั่งศาล

โดยคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด องค์คณะประกอบด้วย สมชาย เอมโอช-ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการเจ้าของสำนวนวิษณุ วรัญญู-ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด วรวิทย์ กังศศิเทียม-ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ-ตุลาการศาลปกครองสูงสุด บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์-ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ไชยเดช ตันติเวสส-ตุลาการผู้แถลงคดี ได้กลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้ กรุงเทพมหานคร และรถไฟฟ้าบีทีเอส ดำเนินการติดตั้งลิฟต์ทั้ง 23 สถานี และจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนี้

1. จัดทำลิฟต์ที่สถานีขนส่งทั้ง 23 สถานี โดยมีรายละเอียดตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกตามความใน พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2539 ข้อ 6 และ ข้อ 7 วรรคสอง และระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 หมวด 1 อาคาร ข้อ 4 (6) (ก) (ข) (ค) (ง) และ (จ)

2. จัดทำอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกที่สถานีขนส่งทั้ง 23 สถานี ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ข้อ 5 และตามระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 หมวด 2 สถานที่ ข้อ 5 (3) (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ (ฉ)

3. จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟฟ้า คือ ให้จัดที่ว่างสำหรับเก้าอี้เข็นคนพิการให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 120 เซ็นติเมตร และให้มีราวจับสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 80 เซ็นติเมตร บริเวณทางขึ้นลง และติดสัญลักษณ์คนพิการไว้ทั้งในและนอกตัวรถคันที่จัดไว้สำหรับคนพิการ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 และตามระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ. 2544 หมวด 3 ยานพาหนะ ข้อ 7 (ง) และ (จ)

พ.ศ.2559

20 ม.ค. 2559
ครบรอบ 1 ปีที่มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุด มีจัดเสวนาโต๊ะกลม ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “BTS : 20 ปีที่รอคอย..ทุกคนต้องขึ้นได้” (อ่านที่ีนี่)

โดยอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวเน้นย้ำในงานว่า เขาให้ความสำคัญกับคนพิการอย่างมากและรู้สึกยินดีในคำตัดสินของศาลเมื่อปี 2558 ส่วนในเรื่องลิฟต์ต้องขออภัยที่ล่าช้า ทั้งนี้ มีแผนดำเนินการในเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ติดปัญหาเรื่องการเลือกพื้นที่ในการสร้างลิฟต์  และด้วยระบบราชการ เมื่อมีคนร้องเรียนว่าไม่ให้สร้างในที่ตรงนี้ กระบวนการทั้งหมดก็จะต้องกลับไปเริ่มใหม่ และบางจุดที่เป็นทำเลใหม่ก็มีระบบสาธารณูปโภคใต้ดินที่ไม่สามารถทำได้ ในตอนนี้สถานีต่อขยายทั้งหมด มีการติดตั้งลิฟต์แล้วได้แก่ บางหว้า-กรุงธนบุรี และอ่อนนุช-แบริ่ง

และย้ำว่า ไม่เกินเดือนกันยายน 2559 นี้ ลิฟต์ทั้งหมด 111 ตัว จะสร้างเสร็จสิ้น และมีทางเดินเสียงเพื่อผู้พิการทางสายตา จะสามารถดำเนินชีวิตและใช้งานได้เอง รวมทั้งมีการเตรียมพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย

“ถ้าผมเป็นผู้พิการ นั่งวีลแชร์ ผมก็จะไม่ใช้บริการบีทีเอสที่ไม่มีลิฟต์ เพราะท่านใช้ยาม 2 คนมาแบกรถผม ทำเหมือนผมเป็นสิ่งของ เป็นอะไรก็ไม่รู้” เขากล่าว

17 มี.ค. 2559
สุเชฏฐ์ สุจินดามณีชัย วิศวกรบริษัท เสรีการโยธา จำกัด ผู้รับจ้างติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก รายงานความคืบหน้าว่า ขณะนี้สามารถก่อสร้างได้จริงร้อยละ 57 และล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ร้อยละ 43 วิศวกรบริษัทเสรีการโยธา กล่าวว่า จะดำเนินการก่อสร้างลิฟต์ให้แล้วเสร็จ จำนวน 12 ตัวอย่างแน่นอน ภายในเดือนเมษายน 2559

12 เม.ย. 2559
รับปากจะติดตั้งลิฟต์เสร็จสมบูรณ์ 12 ตัว ได้แก่สถานี พร้อมพงษ์ อ่อนนุช พญาไท ราชดำริ ราชเทวี ทองหล่อ สนามเป้า สนามกีฬา เพลินจิต เอกมัย สุรศักดิ์ และอารีย์ ภายในสิ้นเดือน เม.ย.59

20 เม.ย. 2559
ลิฟต์ 12 ตัวที่บอกว่าจะสร้างเสร็จภายในเดือน เม.ย.59 นั้นไม่เสร็จตามกำหนดเวลาได้แก่ สถานีพร้อมพงษ์ อ่อนนุช พญาไท ราชดำริ ราชเทวี ทองหล่อ สนามเป้า สนามกีฬา เพลินจิต เอกมัย สุรศักดิ์ และอารีย์ (อ่านที่นี่)

บริษัทเสรีการโยธา ได้ชี้แจงผลการดำเนินงานทั้งหมดว่าปัจจุบันแล้วเสร็จร้อยละ 63.297 โดยเหตุผลที่ดำเนินการก่อสร้างล่าช้าเนื่องจากทางบริษัทสามารถควบคุมการก่อสร้างได้เพียงส่วนของฐานราก และโครงต่างๆ เพราะเป็นส่วนงานที่สามารถทำได้เอง แต่ในส่วนของการติดตั้งตัวลิฟต์หรืออื่นๆ นั้น เป็นการทำงานของบริษัทผู้ผลิตแต่ละเจ้า

อย่างไรก็ดีประภาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง กล่าวว่า การประชุมหลายครั้งที่ผ่านมา ก็ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องพูดซ้ำๆ นั่นก็คือความพยายามเร่งรัดเพื่อให้เกิดการดำเนินงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลา และย้ำว่า ขณะนี้เวลาล่วงเลยมามากกว่า 16 เดือนแล้วนับแต่มีคำสั่งศาล ทางผู้รับเหมาจึงควรต้องติดตามงานและเร่งรัดให้งานดำเนินการตามแผนที่ล้าช้านี้เกิดขึ้นอย่างไวที่สุด

2 มิ.ย.2559
ผู้รับเหมาจากบริษัทเสรีการโยธา กล่าวถึงปัญหาด้านการเงินที่ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่สามารถเบิกเงินเพื่อดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ (อ่านที่นี่) จึงทำให้มีเพียง 5 จาก 19 สถานีที่ดำเนินการติดตั้งตัวลิฟต์แล้วเสร็จ และมีเกือบ 10 สถานีที่ยังอยู่ในขั้นตอนการย้ายระบบสาธารณูปโภคใต้ดินและงานฐานราก

ประภาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง และเครือข่ายคนพิการได้กล่าวย้ำจุดยืนที่จะผลักดันให้การก่อสร้างทั้งหมดแล้วเสร็จภายใน 3 เดือนข้างหน้า เพื่อเปิดใช้ทุกสถานีภายในเดือน ก.ย.59 และเน้นย้ำว่า หากครบกำหนดการยืดระยะเวลาในเดือน ก.ย.59 แล้ว แต่ลิฟต์ทั้งหมดยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะดำเนินการเด็ดขาดเพื่อปรับเงินผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องได้แก่บริษัทเสรีการโยธาเป็นรายวัน

พ.ศ.2560

20 ม.ค.2560
คนพิการยื่นฟ้องแบบกลุ่มต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายจาก กทม. เนื่องจากไม่สามารถติดตั้งลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกได้ตามกำหนดเวลา (อ่านที่นี่)

โดยสนธิพงศ์ มงคลสวัสดิ์ ทนายความกล่าวว่า วันนี้ดำเนินการยื่นข้อเรียกร้องและรอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณา โดยประกอบไปด้วย 3 ประเด็นหลักคือ คำฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย คำร้องเพื่อขอดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือคลาสแอคชัน (Class Action) เป็นวิธีการตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกล่าวคือผู้ฟ้องไม่ต้องฟ้องทั้ง 100 คน แต่ยื่นฟ้องไปเพียงคนเดียวก่อน หากศาลรับฟ้องแล้วจึงร่วมเป็นโจทก์ต่อไปเพราะมูลความแห่งคดีนั้นเหมือนกันและยื่นงดเว้นค่าธรรมเนียมศาล ตามการบังคับใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ ข้อ 17 วรรค 2 ที่ระบุให้คนพิการที่โดนละเมิดสิทธิมีสิทธิฟ้องร้องได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ ศาลแพ่งได้รับพิจารณาเป็นคดีดำ พ.246/2560 และได้นัดไต่สวนการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลวันเดียวกับนัดสืบพยานในวันที่ 30 มี.ค.ที่จะถึง เวลา 09.00 น. ณ ห้อง 310 ชั้น 3 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก

และมีแถลงการณ์ดังนี้

แถลงการณ์

20 มกราคม 2560

เรื่อง ปฏิบัติการ "นั่งรถไฟฟ้า ไปฟ้อง กทม.ที่ศาลแพ่ง รัชดา"

ตั้งแต่ปี 2538 ตามที่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเกิดขึ้นเพื่อมาแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางในกรุงเทพฯ และให้เอื้อประโยชน์ในการเดินทางแก่คนทั้งมวลรวมถึงคนพิการทุกประเภทอีกด้วย แต่ทั้งนี้การก่อสร้างสถานีไม่ได้ติดตั้งลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับคนพิการ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับอย่างเท่าเทียม กลุ่มคนพิการจึงเริ่มเรียกร้องให้ กทม.และบริษัทผู้ได้รับสัมปทาน ให้ดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ (Accessibility) อย่างเท่าเทียม แต่ทั้งสองหน่วยงานต่างบ่ายเบี่ยง และเพิกเฉยปฏิเสธความรับผิดชอบ กลุ่มคนพิการจึงยื่นฟ้อง กทม.และพวกในปี 2550 การดำเนินการผ่านไปสองปี วันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2552 ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า ตอนนั้นกฏหมายไม่ได้กำหนดรายละเอียดในเรื่องอาคารสถานที่ และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ ต่อมากลุ่มผู้พิการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลปกครองสูงสุด 21 มกราคม พ.ศ. 2558 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง สั่งให้ กทม.จัดทำลิฟต์ขึ้นลงสำหรับผู้พิการที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ง 23 สถานี และให้จัดทำอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการรวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการบนรถไฟฟ้าบีทีเอสให้แล้วเสร็จ ภายใน 1 ปีหลังจากมีคำพิพากษา แต่สุดท้าย แม้จะครบกำหนด 1 ปี ก็ยังไม่มีการดำเนินการตามสั่งศาลได้ และยังต่อรองว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2559

จากการติดตามอย่างใกล้ชิดของคณะทำงาน จนถึงบัดนี้ กทม.ก็ไม่ได้เร่งดำเนินการให้มีการติดตั้งลิฟต์ทั้ง 23 สถานีได้ตามที่ศาลกำหนด กทม.ขาดความรับผิดชอบและทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไร้วี่แววว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามที่สัญญา กลุ่มคนพิการในนามของภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A)จึงเห็นสมควรให้มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ฐานละเมิดสิทธิคนพิการถูกลิดรอนและมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันครบกำหนดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด (21 มกราคม 2559)

อนึ่ง การฟ้องนี้เป็นการฟ้องแบบกลุ่มโดยบุคคลเนื่องจากคดีนี้เป็นการละเมิดที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะในวงกว้าง หากศาลสั่งให้ กทม. ชดใช้ค่าเสียหาย คนพิการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นขอรับค่าเสียหายได้

21 มี.ค.2560
กลุ่มคนพิการเข้าร่วมรับฟังการไต่สวนคดีขอยื่นฟ้องแบบกลุ่ม ณ ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก (อ่านที่นี่)

อัยการยื่นอำนาจชี้ขาด จากกรณีคนพิการยื่นฟ้องแบบกลุ่ม พร้อมกับโต้แย้งว่า คดีนี้นั้นเป็นคดีของศาลปกครอง จึงต้องหยุดก่อนตามสภาพ เพื่อรอคำวินิจฉัยจากศาลปกครอง หากมีคำวินิจฉัยตรงกับศาลแพ่ง ก็จะสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่หากไม่ตรงกันก็จะต้องส่งต่อให้คณะกรรมการประธานศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาดว่าสามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้หรือไม่

18 พ.ค.2560
คนพิการกว่า 100 คน เดินทางเข้าร่วมฟังผลการไต่สวน เพื่อขอยื่นฟ้องแบบกลุ่ม และศาลแพ่งมีความเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลยุติธรรม (อ่านที่นี่)

หลังจากมีการชี้ขาด กทม.มีสิทธิยื่นอุทธรณ์เพื่อคัดค้านการชี้ขาดอำนาจศาลได้ภายใน 7 วัน และศาลแพ่งก็จะสรุปสำนวน และส่งคำวินิจฉัยไปยังศาลปกครอง หากมีความเห็นตรงกันในการให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้รับคำร้อง กระบวนการก็จะดำเนินต่อไป แต่หากมีความเห็นค้าน ศาลแพ่งก็จะต้องเอาสำนวนส่งเข้าคณะกรรมการวินิจฉัยเพื่อชี้ขาดว่า คดีนี้ควรอยู่ที่ศาลใด

7 ส.ค.2560
ศาลแพ่งและศาลปกครองมีการให้ความเห็นที่ไม่ตรงกัน จึงต้องส่งเรื่องต่อเพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยอำนาจชี้ขาดระหว่างศาลเป็นผู้ชี้ขาดอำนาจดังกล่าว โดยยังไม่ทราบวันที่และเวลา (อ่านที่นี่)

พ.ศ.2561

21 ม.ค.2561
ครบรอบ 3 ปี หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งให้บีทีเอสสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง 23 สถานี

22 ม.ค.2561
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจระหว่างศาลมีความเห็นว่า โจทก์เป็นคนพิการตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ฟ้องร้องค่าเสียหายกรณีละเมิดสิทธิอันเนื่องจากจำเลยทำสัญญาขนส่งมวลชน โดยไม่มีการจัดทำลิฟต์ทั้ง 23 สถานี หรือทำแล้วใช้ไม่ได้ และไม่เป็นไปตาม พรบ.คนพิการ และคดีแดงที่อ.650/2557 ที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้บีทีเอสสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบทั้ง 23 สถานี ภายใน 1 ปีนับแต่มีคำสั่งศาล ทั้งการสร้างลิฟต์ ป้ายสัญลักษณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูคนพิการ ระเบียบวาระว่าด้วยมาตรฐานสิ่งอำนวยความสะดวก

โดยระบุว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาว่าให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีแล้วนั้น แต่ไม่สามารถทำได้ถือเป็นการละเมิด ขัดขวางและเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความพิการ อีกทั้งจำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองด้วย

นอกจากนี้ พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการยังบัญญัติให้รัฐต้องให้บริการและสนับสนุนคนพิการ โดยไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ ทั้งนี้เมื่อคำฟ้องของโจทก์กล่าวว่า บริการรถสาธารณะของจำเลย ไม่เป็นไปตาม พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปี 50 และไม่เร่งรัดตามคำสั่งเลขแดง อ.650/2557 อันเป็นการเลือกปฏิบัติ เป็นเหตุให้ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจึงชี้ขาดว่า อำนาจพิจารณาคดีนี้เป็นอำนาจของศาลปกครอง (อ่านที่นี่)

11 มี.ค.2561
มานิตย์ อินทรพิมพ์ชกกระจกลิฟต์บีทีเอสสถานีอโศกเพราะรู้สึกถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากการที่เจ้าหน้าที่ให้เขาเซ็นชื่อ นามสกุล เวลาและสถานีปลายทางที่ต้องการไปในใบกระดาษ โดยแจ้งว่าเป็นบันทึกประวัติการเดินทางของคนพิการ และไม่ยอมให้ใช้สิทธิคนพิการหากไม่เซ็นชื่อ เมื่อมานิตย์ไม่ยอมเซ็นและเกิดการถกเถียงกว่าครึ่งชั่วโมง เขาจึงซื้อตั๋วเดินทางในระบบปกติ ยืนยันที่จะไม่เซ็นชื่อและไม่ใช้สิทธิคนพิการ (อ่านที่นี่)

หลังซื้อตั๋วแล้วจึงไปรอหน้าลิฟต์เพื่อขึ้นสู่ชั้นชานชาลา แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาเปิดล็อกประตูหน้าห้องลิฟต์โดยสาร จึงทำให้เขาตัดสินใจใช้มือทุบกระจกประตูจนแตกรวม 8 ครั้้ง จนเจ้าหน้าที่และนายสถานีเข้ามามุงดู และเดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจลุมพินีในเวลาต่อมา

16 มี.ค.2561
บีทีเอสชี้แจงกรณีมานิตย์ชกกระจกลิฟต์ว่า การกรอกแบบฟอร์มเป็นระเบียบปฏิบัติปกติของคนพิการ (อ่านคำชี้แจงที่นี่) หลังจากมีคำชี้แจงดังกล่าว ก็มีคอมเม้นท์หลายคอมเม้นท์ที่บอกว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงประเด็น เน้นการตลาด และทำไมเมื่อคนพิการจะใช้ลิฟต์ต้องลงชื่อ ต่างจากคนทั่วไปที่ใช้บันไดเลื่อนอย่างไร

9 พ.ค.2561
ธีรยุทธ สุคนธวิท ประธานเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้และภาคีคนพิการ เดินทางยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรุงเทพมหานครที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ  เป็นรายบุคคล รายละ 1,000 บาทต่อวัน  กรณีไม่จัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบนบีทีเอส ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่กำหนดให้จัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ม.ค.59  โดยกล่าวว่า “จากกรณีที่กรุงเทพมหานครไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เราคิดว่าเราไม่ได้มาทวงสัญญา เรามาตามหาสิทธิที่หายไป คือสิทธิในการเดินทาง คนไทยทุกคนมีสิทธิในการเดินทาง ซึ่งคนพิการยังไม่มีสิทธิตรงนี้ เราจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เพราะจะมีระบบรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีกเป็น 10 สาย” (อ่านที่นี่)

16 พ.ค.2561
นิรันดร์ ประดิษฐกุล สมาชิกสภา กทม.ประธานคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้รายงานผลการพิจารณาญัตติที่ กทม.ขอความเห็นชอบงบประมาณเพื่อก่อสร้างลิฟต์ตามแนวเส้นทางสัมปทาน เพิ่มเติมจำนวน 19 ตัว ใน 16 สถานี งบประมาณ 256.2 ล้านบาท ที่ประชุมสมาชิกสภาส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่มีข้อสังเกตและท้วงติงถึงผลการทำงานของบีทีเอส (อ่านที่นี่ )

27 พ.ย.2561
สุชาติ โอวาทวรรณสกุล ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และ ธีรยุทธ สุคนธวิท ประธานภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A) นำเครือข่ายคนพิการร่วม 500 คนยื่นฟ้อง รฟม. ต่อศาลปกครองกลาง ฐานละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ กรณีไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในรถไฟฟ้าสายสีม่วง สำหรับการฟ้องครั้งนี้เป็นการยื่นฟ้องครั้งแรกสำหรับรถไฟฟ้าสายดังกล่าว

ธีรยุทธ สุคนธวิท ประธานภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ กล่าวว่า หลังจากที่เครือข่ายได้ทำการสำรวจรถไฟฟ้าสายสีม่วงและได้พบอุปสรรคในหลายจุด เช่น การติดตั้งลิฟต์ไม่ครบถ้วน ทั้ง 16 สถานี รวมทั้งเครือข่ายเคยขอความร่วมมือในการร่วมออกแบบสิ่งอำนวยสะดวกในช่วงของการก่อสร้างไปแล้วนั้น แต่ก็ไม่เคยมีการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วยังไม่สามารถก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนได้ จึงตัดสินใจยื่นฟ้องดังกล่าว (อ่านที่นี่ )

พ.ศ.2562

21 ม.ค.2562 ครบรอบ 4 ปี หลังศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้บีทีเอสสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟฟ้า