เป้าหมายหนึ่งของชีวิตของใครหลายคนคือ การมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่การมีบ้านกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะราคาบ้านในปัจจุบันนั้นสวนทางกับค่าครองชีพ ขนาดบ้านโซนชานเมืองก็ยังราคาสูงถึง10-20 ล้านบาท การกู้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนผ่อนบ้าน อย่างไรก็ดี คนตาบอดที่อยากมีบ้านกลับยิ่งเจอกับความยากลำบาก Thisable.me จึงอยากชวนคุยกับแป้ง—ลิตา สกุลรัตนพิทักษ์และ เชา—อ้น อ่วมจินดา คนตาบอดทั้ง 2 คน จะกู้ซื้อบ้านผ่านต้องวนเวียนเข้าออกธนาคารไม่รู้กี่รอบ ชวนอ่านว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนตาบอดกู้บ้านยาก แล้วพวกเขาทำอย่างไรถึงจะมีบ้านตามที่ฝัน
ก่อนซื้อบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหนมาก่อน
ลิตา: เมื่อก่อนเราอยู่บ้านต่างจังหวัดกับพ่อแม่ ช่วงเรียนจบใหม่ๆ เราทำงานที่วัลแคน ทำหน้าที่กรอกข้อมูลคนที่มาแจ้งปัญหาต่างๆ ที่สายด่วน กทม.1555 ตอนนั้นก็ทำที่บ้านและขายล็อตเตอรี่เสริม แต่ก็ขายไม่ดี พออยู่ต่างจังหวัดเราไม่สามารถออกไปไหนด้วยตัวเองได้ ต้องให้พ่อแม่พาไป เราเลยตัดสินใจมาขายลอตเตอรี่อยู่กับแฟนที่สมุทรปราการและวางแผนซื้อคอนโดหรือบ้านเพราะจะได้มีที่อยู่เป็นของตัวเอง
หลังคุยกับแฟนว่าจะซื้อบ้าน ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
ตอนแรกเรามองว่า คงไม่มีปัญญาซื้อบ้าน ไม่น่าจะมีบ้านราคาถูกละแวกสำโรง จึงคิดว่าซื้อคอนโดก็ได้ เราก็เสิร์ชหาพอเห็นว่าตรงไหนน่าสนใจก็จะไปดูช่วงนั้นมีโครงการบ้านล้านหลัง เราก็ลองคุยกับเซลล์คอนโด ยื่นเอกสารต่างๆ ให้ดู พอเขาเห็นว่าเรามีเอกสารไม่ครบก็บอกว่ากู้ไม่ผ่านหรอก
เพราะอะไรถึงกู้ไม่ผ่าน
ที่กู้ไม่ผ่านเพราะเซลล์ขายคอนโดหรือเจ้าหน้าที่ของแต่ละธนาคารไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับมาตรา 35 ของ พ.ร.บ.คนพิการ พอเราไม่มีใบประกันสังคม สลิปรับรองเงินเดือน ทำให้เรากู้ไม่ผ่าน บางสาขาของธนาคารก็ไม่ดูเอกสารอื่นแล้วเชิญเราออก ขนาดเราพาหัวหน้างานมาอธิบายลักษณะการทำงานแต่ยังไม่ทันได้อธิบายก็เชิญออกจากธนาคาร มีอยู่ครั้งหนึ่งเซลล์คอนโดลองยื่นเอกสารเท่าที่มีให้กับกับธนาคารแล้ววางมัดจำ แต่ยื่นเอกสารไปก็ไม่ผ่าน
วิธีการเลือกบ้านหรือคอนโดของคนตาบอดเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นให้ดูสภาพแวดล้อมว่ามีสิ่งอำนวนความสะดวกมากน้อยขนาดไหน มีร้านสะดวกซื้อไหม อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าหรือเปล่า เพราะคนตาบอดส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ถ้าไม่ใกล้รถไฟฟ้า แล้วขนส่งสาธารณะแบบอื่นไม่ว่าจะเป็นวินมอเตอร์ไซค์ รถเมล์ รถสองแถวหรือแท็กซี่มีไหม เรียกรถง่ายไหม หลังจากนั้นเข้ามาดูบ้านหรือคอนโดว่ามีเนื้อที่เท่าไหร่ เราเดินไปสัมผัส ไปจับ ไปดูว่ามีเฟอร์นิเจอร์อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ห้องน้ำ ห้องครัวอยู่ส่วนไหนของบ้าน อุปกรณ์ในบ้านก็ต้องหยิบจับใช้งานง่าย ไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ มีมุมเหลี่ยมเยอะแค่ไหน จะเดินเตะเดินชนแล้วบาดเจ็บไหม พื้นลื่นไหม พื้นที่ต่างระดับมีความสูงห่างกันเยอะไหม ถ้าเป็นบ้านหรือคอนโด 2 ชั้นก็ต้องดูว่าบันไดขั้นไหนผุผังเสียหายบ้าง หากเป็นบันไดที่มีช่องว่างระหว่างขั้นจะทำให้ขาหลุดร่วงลงไปด้านล่าง
ทำไมถึงเปลี่ยนสินทรัพย์กลางคันจากคอนโดเป็นบ้าน
โครงการบ้านล้านหลังกำลังจะปิดโครงการ เราไปยื่นกู้ซื้อคอนโดแถวแบริ่ง แต่รู้สึกว่าห้องแคบไป จึงคิดว่าจะเอาเงินไปผ่อนซื้อบ้านที่ใหญ่ๆ ไปเลย ระหว่างดำเนินเรื่องกู้ซื้อบ้านเราไปบ่นให้กับรุ่นพี่ตาบอดที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ว่า ไม่อยากได้คอนโดแล้ว อยากได้บ้านมากกว่าต้องทำไงดี เพราะบ้านราคาเกิน 1.5 ล้านเข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลังไม่ได้ เขาเลยบอกว่าจะขาย 900,000 บาท จะซื้อไหม เราเลยเปลี่ยนสินทรัพย์กู้กลางทาง ทางเจ้าหน้าที่ก็ติเรามาเหมือนกันว่าทำไมถึงเปลี่ยน นี่ไม่ใช่การเล่นขายของ เราทำสัญญากับรุ่นพี่ตาบอดว่ากู้ 940,000 บาท 40,000 บาท ก็ให้เขาไปจัดการค่าโอน ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าประกันอัคคีภัย
หาหนทางจนสามารถกู้ซื้อผ่านได้
เราไปกู้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ เจ้าหน้าที่มีประสบการณ์การทำเรื่องกู้ซื้อบ้านกับคนตาบอดอยู่แล้วเขาเอาเอกสารเบื้องต้นของเราไปตรวจสอบก่อน แล้วก็เหมือนกับที่ทุกธนาคารที่แจ้งว่ามาตรา 35 ยื่นกู้ไม่ได้ เขาถามว่าทำงานอย่างอื่นอีกไหม เราก็บอกว่าขายล็อตเตอรี่ เขาถามหาใบรับรองการค้าสลาก เราเตรียมไปพอดีเลยยื่นเอกสารให้ แต่เตรียมเอกสารบัญชีเงินฝากมาไม่ครบ เจ้าหน้าที่แอดไลน์แล้วให้ถ่ายรูปเอกสารบัญชีเงินฝากให้
ตอนที่ขอยื่นกู้อาชีพอิสระเจ้าหน้าที่เขาถามว่าขายกี่ใบ เราแจ้งว่า 1,000 ใบ ตอนนั้นเราแจ้งไปว่า 10 เล่ม 1,000 ใบ แล้วเจ้าหน้าที่ถามว่าทำไมเงินในบัญชีน้อย เราแจ้งว่าไม่ได้เอาเงินจากการค้าเข้าสู่สลากบัญชี เพราะรับเป็นเงินสด เจ้าหน้าเลยไม่มีปัญหาอะไรกับส่วนนี้
ทางธนาคารจะคิดราคาที่รัฐกำหนด 80 บาทต่อใบ ความจริงเราไม่ได้ขายในราคานี้เพราะมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่เช่น ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าอยู่ เราต้องขายใบละ 100 บาท แล้วแฟนเราเป็นคนกู้หลัก ส่วนเราเป็นผู้กู้ร่วม เจ้าหน้าที่แจ้งว่า อีกคนสามารถเก็บสิทธิไว้กู้ได้อีก แต่เรามองว่ากู้เยอะค่าใช้จ่ายก็เยอะ หากผ่อนพร้อมกัน 2 คนมีใครคนใดคนหนึ่งตกงานจะแย่ แต่เรามั่นใจว่ายังไงก็กู้ผ่าน เพราะบ้านเราเข้าหลักเกณฑ์เข้าร่วมโครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งสามารถกู้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มของราคาบ้าน ไม่ต้องหาเงินจากที่อื่นมาโปะเพิ่ม
เจ้าหน้าที่ธนาคารกังวลว่าคนตาบอดจะส่งบ้านไม่ไหว
ตอนแรกเจ้าหน้าธนาคารที่ก็ลังเลที่จะให้เรากู้ผ่านเพราะเราหากินแถวจังหวัดสมุทรปราการแต่บ้านที่กู้อยู่ร่มเกล้า ตอนแรกตอบเขาว่าไม่มีปัญหา แต่พอมาอยู่จริงไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย พอไปขายก็มีปัญหากับแม่ค้าประจำถิ่น ยิ่งเราเป็นคนพิการด้วยเวลามีปัญหาก็แย่คูณสอง เราเลยเปลี่ยนแผนเดินไปขายตามหมู่บ้านต่างๆ วันหนึ่งขายเฉลี่ยได้ 10-100 ใบ ส่วนงานมาตรา 35 ก็เป็นการจ้างงานปีต่อปี เงินเดือนไม่ได้สูงมาก ตกเดือนละ 9,500 บาท เจ้าหน้าที่กลัวว่าเราจะผ่อนส่งไม่ไหว
คนตาบอดคุยกันเรื่องการซื้อบ้านเยอะไหม
ไม่ค่อยเยอะ แต่ส่วนใหญ๋คุยเรื่องเช่าเพราะสะดวก ง่ายต่อการดูแลรักษาความสะอาด นอกจากนี้งานมาตรา 35 ก็ไม่แน่นอน ปีนี้ได้ทำปีหน้าอาจจะไม่ได้ทำ หากทำผิดเงื่อนไขหรือทำงานไม่ได้ตามที่เขาประเมินไว้แล้วต้องออกจากงานก็จะส่งผลต่อการส่งเงินค่าผ่อนบ้าน บางคนคิดว่าไม่มีบ้านก็ได้ บางคนก็มองว่าซื้อเงินสดง่ายกว่า
คิดว่าอะไรเป็นอุปสรรคในการกู้ซื้อบ้านของคนตาบอด
สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดในการซื้อบ้านคือ ความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวกับมาตรา 35 ว่าเป็นลักษณะการทำงานแบบไหน ไม่มีหนังสือรับรองเงินเดือนเหมือนมาตราอื่นให้ยื่น แล้วมีเอกสารอย่างอื่นมาใช้แทนกันได้หรือไม่ ไม่ใช่ให้คนตาบอดดิ้นรนหาอาชีพอิสระทำ บางคนทำงานอาชีพเดียว ไม่ได้ทำอาชีพอิสระก็กู้ซื้อบ้านไม่ได้ ถ้าคนพิการจะกู้ซื้อบ้านแล้วไม่สามารถใช้มาตรการเดียวกันกับคนตาดี ก็ควรคิดมาตรการกู้ซื้อบ้านสำหรับคนพิการ
ทำงานมาตรา 35 หรือ มาตรา 33 มาตราไหนดีต่อการซื้อบ้าน
หากทำงานมาตรา 33 มีโอกาสในการขอกู้ซื้อบ้านได้มากกว่ามาตรา 35 แต่การจ้างงานคนพิการในมาตรา 33 ค่อนข้างหายาก ตอนนี้ที่สำนักงานเขตรับคนพิการเข้าทำงาน ก็ต้องมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรีขึ้นไป ขณะที่ส่วนใหญ่คนพิการไม่จบปริญญาตรีเลยทำอาชีพอิสระ แม้บางส่วนเข้าไปทำงานมาตรา 35 แต่ก็เป็นอะไรที่ใหม่ ไม่มีอะไรมาสร้างความเชื่อมั่นมากพอว่าคนตาบอดสามารถทำธุรกรรมซื้อบ้านได้
คนพูดกันว่า คนตาบอดอยู่กันเองไม่ได้หรอก
ตอนแรกเราไม่บอกว่ามาซื้อบ้านที่นี่ พอครอบครัวรู้ก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมมาซื้อตรงนี้ ไม่ปรึกษาเขาก่อน เลือกซื้อบ้านทั้งทีน่าจะเลือกดีๆ กว่านี้ เวลาครอบครัวมาเยี่ยมก็ไม่สะดวกสบาย เดินทางไกล ส่วนเพื่อนก็บอกว่าซื้อบ้านอยู่ไกลจะไปหายังไง เลยไม่ค่อยมีใครมาหา
เวลาคนตาดีเห็นว่าขายล็อตเตอรี่ก็ถามว่าอยู่กันสองคนเหรอ แล้วไม่มีใครอยู่ด้วยเหรอ พอรู้ว่าเราอยู่กันได้ เลี้ยงสุนัขด้วย เขาก็ชมว่าพวกเราเก่ง ซื้อบ้านได้ แต่ไม่เคยเจอคำถาม ‘อยู่กันแค่นี้จะอยู่ได้เหรอ’ เพราะคนตาบอดซื้อบ้านแถวนี้เยอะอยู่เหมือนกัน บ้านเอื้ออาทรคนตาบอดก็อาศัยเยอะ ถัดไปเป็นเคหะเอื้ออาธร ส่วนใหญ่ครอบครัวคนตาบอดจะเช่าอาศัยอยู่เป็นห้อง ไม่ค่อยซื้อ เพราะง่ายในดูแลรักษา
ความแตกต่างระหว่างการมีบ้านเป็นของตัวเองกับการอยู่กับญาติ
เมื่อก่อนรู้สึกว่าเดี๋ยวก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้องอีกแล้ว พอมีบ้านเป็นของตัวเองเราจะทำอะไรตรงไหนก็ได้ จะเจาะผนังห้อยของอะไรก็ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลี้ยงน้องหมา เราปล่อยให้หมาเดินเล่นตามสบาย เราภูมิใจที่ผ่อนจ่ายจนหมดแล้วไม่ต้องจ่ายอีก เพราะบ้านเป็นของเราแล้ว เราแค่เสียค่าน้ำค่าไฟ แต่ถ้าเช่าบ้านก็ต้องจ่ายค่าเช่าไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาเป็นค่าใช้จ่ายเงินไปไม่มีวันหมด
แผนจะรีโนเวทบ้านหลังนี้
สภาพบ้านไม่เหมือนที่เราคิดไว้ก็ต้องรีโนเวทแน่นอน โดยเริ่มตั้งแต่ประตูรั้วบ้านที่เป็นตาข่าย เวลาเราทำอะไรคนอื่นเห็นหมดเลย เรารู้สึกไม่เป็นส่วนตัว บ้านหลังนี้หันไปทางทิศใต้ ตอนกลางคืนอุณหภูมิ 33 องศา กว่าจะหลับได้ก็ตี 4-5 เพราะอากาศเริ่มเย็น แต่เวลานั้นใกล้เวลาที่เราตื่นมาทำงานแล้วทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม ทำงานไม่เต็มที่ เรามีแผนว่าจะติดแอร์ ปูพื้นใหม่ ทาสีใหม่ ทำบ้านให้สุนัขเพื่อเวลาใครมาหาแล้วไม่ชอบสุนัขให้เขาเข้าไปอยู่ในบ้านตัวเอง
ตอนแรกไม่รู้ด้วยว่าราคาประเมินบ้านหลังนี้สูงกว่าที่กู้ ถ้ากู้เต็มราคาประเมินมีเงินรีโนเวทบ้านให้สวยและดูดีกว่านี้ เลยคิดว่ารออีกสัก 2-3 ปีเพื่อรีไฟแนซ์แล้วเอาเงินส่วนเกินมารีโนเวทบ้าน
หากเป็นคนตาบอดต้องเตรียมอะไรเพื่อซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
เอกสารส่วนตัวของคนที่จะกู้ต้องเตรียมให้ครบ เช่น สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นกู้ ใบรับรองเงินเดือนของบริษัทที่จ้างงาน สลิปเงินเดือน เป็นต้น เราแนะนำว่าเอกสารสำคัญ อย่างเอกสารจะซื้อจะขายต้องให้คนตาดีช่วยอ่านรายละเอียดให้ฟังว่า เขียนชื่อนามสกุลใคร มีการเซ็นต์สัญญาซื้อขายเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ เป็นทรัพย์สินแบบไหน เราจะได้ไม่พลาดเพราะมีผลต่อการยื่นกู้มาก ส่วนเอกสารของผู้ขายเราก็ต้องตรวจสอบ คนขายมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ก่อนจะเซ็นต์เอกสารต้องสังเกตก่อนทุกอย่าง การเซ็นต์เอกสารคือการตกลงและแก้ไขได้ยาก
อยากบอกอะไรกับคนที่บอกว่าคนตาบอดไม่มีปัญญาซื้อบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นตาบอด แขนขาด ไม่ได้ยิน อยากให้ไม่มองว่าเป็นคนพิการแต่มองเขาเป็นคนๆ หนึ่งที่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตแล้วมีความต้องการเหมือนกับคนไม่พิการ อยากมีบ้าน อยากมีที่อยู่อาศัย อยากให้มองว่าคนพิการก็มีกำลังในการซื้อได้ เขาถึงซื้อ เขาต้องพิจารณาอยู่แล้วว่าเขาทำได้ ไม่ใช่อยากซื้ออยู่ดีๆ ก็ไปซื้อ มันไม่ง่ายอย่างที่คุณตัดสินหรอก เราตัดสินใจ คิดไตร่ตรอง วางแผน เตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ควรตัดสินใครถ้าไม่ได้อยู่จุดนั้น ทุกคนมีความอยากได้ อยากมี ทุกคนมีความต้องการ ไม่ใช่พิการแล้วไม่ควรมีความต้องการ ทุกคนควรมีสิทธิเท่ากัน