Skip to main content

เธอ..สาวสวยวีลแชร์ในความทรงจำใครหลายคน เจ้าของใบหน้าสวย รอยยิ้มหวานกับตำแหน่งมิสวีลแชร์คนแรกของประเทศไทย วันนี้เรามีโอกาสนัดสัมภาษณ์อัพเดตชีวิตของเธอ “ ชมพู่ ภัทราวรรณ พานิชชา ” ย้อนกลับไปตั้งแต่เธอประสบอุบัติเหตุ และใช้เวลาปรับตัวจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ต่อมาเธอก้าวสู่เวทีประกวดมิสวีลแชร์จนคว้าตำแหน่งมิสวีลแชร์คนแรกของประเทศไทย ผ่านมาแล้ว 6 ปีเธอมีเรื่องราวชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

         เรานัดพบเธอที่อพาร์ทเมนต์ของเธอเองในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส เธอเคลื่อนวีลแชร์มาหาเราที่สวนหย่อมพื้นที่สีเขียว ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างสวยงามพร้อมรอยยิ้มหวานถูกส่งมาทันทีที่ได้พบหน้ากันและประโยคแรกของการเริ่มพูดคุย ‘พี่รบกวนน้องช่วยยกรถเข็นขึ้นให้หน่อยนะคะ’ ก่อนพบกันเราได้ติดตามดูเรื่องราวชีวิตของเธอผ่านอินสตราแกรมได้เห็นรอยยิ้มของเธอกับชุดสวยในสถานที่ต่างๆ แต่ตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าเราแล้ว อะไรกันนะทำให้เธอดูสวยอยู่ตลอดเวลาได้ขนาดนี้ สมกับที่ได้รับตำแหน่งสาวสวยมิสวีลแชร์เสียจริง 

ย้อนกลับไปในวินาทีที่ได้เป็น มิสวีลแชร์คนแรกของไทย รู้สึกอย่างไรบ้าง 

         รู้สึกดีใจค่ะเราคาดหวังตั้งแต่เริ่มเข้าประกวดแหละว่าอยากได้ตำแหน่ง แต่แอบคิดนะว่าอาจไม่ใช่เราตอนนั้นเพราะอีกคนที่ได้ที่สองเองก็ตอบคำถามได้ดีมากเลยค่ะ

คิดว่าอะไรทำให้ตัวเองได้ตำแหน่งนี้มา

         อาจจะเป็นตอนเก็บตัวประกวด มีการเก็บตัวต่างจังหวัด การทำเวิร์คช็อปต่างๆ เราก็มีความเป็นตัวของตัวเอง เราพรีเซ้นท์สิ่งต่างๆ ที่เขาสอนทั้งการแต่งหน้า การมีบุคลิกภาพ การเล่นเกมส์ ซึ่งเราก็ทำเต็มที่ หน้าตาอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญก็คือ การตอบคำถามบนเวที อีกอย่างเหมือนเวทีนี้อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์คนพิการด้วย ไม่ใช่ความน่าสงสารแต่พวกเราเองก็มีความรู้ความสามารถ เราว่าตัวเราเองก็ตอบโจทย์นี้

ยังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเราได้รับคำถามตัดสินตำแหน่งว่าอะไร แล้วตอบอะไร

         ตอนนั้นจะมีสโลแกนของการประกวดอยู่ค่ะว่า “ เป็นมากกว่ามงกุฏและสายสะพาย ” เขาก็ถามว่าเราตีความอย่างไรกับสโลแกนนี้ เราเลยตอบว่าคำว่าเป็นมากกว่ามงกุฏและสายสะพายก็คือการที่เวทีมิสวีลแชร์เปิดโอกาสให้กับผู้หญิงที่นั่งรถเข็นมาแสดงว่าตัวเองมีความสามารถ มีศักยภาพมากขนาดไหน เวทีทั่วไปก็มีการประกวดสาวสวยแต่ผู้หญิงพิการหรือนั่งรถเข็นอาจจะไม่สามารถเข้าร่วมได้

 

ทำไมถึงเลือกประกวดมิสวีลแชร์

         ตอนนั้นอยู่ประมาณปี 2 มีรุ่นพี่ในคณะส่งมาบอกว่ามีการประกวดนี้เกิดขึ้น เราเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีด้วยก็เข้าไปอ่านกติกาเขาดู แล้วรู้สึกว่าสมัครไปก็ไม่เสียหายอะไร ไม่เสียเงินอะไรแค่ส่งใบสมัครไปทางอินเตอร์เน็ต ตอนเด็กเราก็มีความฝันอยากประกวดอยู่แล้ว ชอบดูพวกเขาตอบคำถามแล้วเราก็จะตอบตามเขา ( ขำ )

หลังได้รับตำแหน่งแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

         เปลี่ยนไปเยอะมากนะ จากตอนแรกที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักจะมีก็แค่คนในมหาลัยเพราะประกวดดาว แต่พอได้ตำแหน่งมามันก็มีสื่อให้ความสนใจ ได้ไปออกทีวีหลายช่อง ได้ไปพูดถึงว่าจริงๆ แล้วคนพิการต้องการอะไร ไปพูดถึง universal design  การที่ให้คนพิการเข้าถึงสาธารณประโยชน์ต่างๆ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี

ในฐานะที่เราเป็นมิสวิลแชร์ เราได้สร้างผลงานอะไรบ้าง

         มันไม่มีภารกิจหลักแบบไปประกวดต่อระดับโลก แต่จะมีเดินสายขอบคุณสื่อ สปอร์นเซอร์ที่ให้ความสนใจ เพราะตอนนั้นยังไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย สื่อเลยสนใจเป็นพิเศษ มีหลายที่ติดต่อมาให้ไปพูดให้กำลังใจเด็ก คนแก่ที่เป็นคนพิการเหมือนกันให้เขารู้สึกว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญนะ ให้เขามีกำลังใจไม่ท้อถอย เคยได้คุยกับผู้ว่ากรุงเทพฯ เกี่ยวกับเรื่องรถตู้สำหรับคนพิการว่าทำไมคนพิการถึงต้องการสิ่งนี้

 

อัพเดตไทม์ไลน์ชีวิตตอนนี้หน่อย เป็นอย่างไรบ้าง

         เรียนจบมาได้ 3 ปีแล้วก็ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ ทำพิธีกรรายการ 7 สีช่วยชาวบ้าน ทั้งสองงานนี้แตกต่างกันมากนะอย่างอาชีพนักวิเคราะห์ก็จะเป็นงานเอกสาร ค่อนข้างจะจริงจัง ส่วนใหญ่ก็ทำหน้าคอมพิวเตอร์ตลอด ส่วนงานพิธีกรก็จะอยู่หน้ากล้อง ได้พูด ซึ่งงานพิธีกรเป็นงานที่เรารักเพราะได้พูดได้คุยกับผู้คน

มีบทบาทหน้าที่ไหนอีกที่อยากจะทำในอนาคต

         อยากเป็นนักแสดง เราเคยแสดงโฆษณากึ่งละครนิดๆ เป็นแนวหนังสั้นบทบาทสมมติ เรารู้สึกว่ามันสนุกดี พอแสดงแล้วผู้กำกับก็ชมว่าทำได้ดีนะ เราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบงานด้านนี้นะ มันสนุกมาก ( ตอนนั้นได้ฝึกก่อนแสดงเยอะไหม ) ไม่เลย ได้บทมาดูว่าบทพูดประมาณนี้นะแสดงประมาณนี้นะ ก็ไปแคสครั้งหนึ่งแหละแต่ก็ไม่ได้ฝึกอะไรก่อนแสดง

ชมพู่ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ กับชมพู่ในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

         ตัวตนของเราเมื่อก่อนจะเป็นคนไม่ค่อยแคร์ใคร เราสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ทุกอย่าง เป็นคนใจร้อน แต่พอเรามาเดินไม่ได้อะเราต้องฝึกให้ใจเย็นขึ้น มันอาจจะไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองตลอด บางทีต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง ต้องรู้จักพูดคุยกับคนอื่น ปกติเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยคุยเจ๊าะแจ๊ะเท่าไหร่แต่ถ้าคุยเป็นการเป็นงานอะพูดเก่งนะ 

พอพิการเรารู้สึกว่ามองโลกกว้างมากขึ้น เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในสังคมหรือความไม่สะดวกที่คนปกติมองไม่เห็น

เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องประสบเองใช่มั้ย อย่างประตูห้องน้ำอะสำหรับเราหรือคนทั่วไปอาจจะหมุนได้ปกติ แต่คนที่มือไม้อ่อนแรงเขาก็จะลำบากในการหมุนแล้วไง นี่แหละเราก็จะคิดไปเผื่อพวกเขา มันทำให้มองโลกกว้างกว่าเดิมนะ เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นด้วย

 

ความยากเมื่อเราต้องนั่งวีลแชร์คืออะไรบ้าง

         ยากทุกเรื่องเลยเพราะเราผ่าตัดกระดูกสันหลัง เราต้องฝึกใหม่ทั้งหมดเลยตั่งแต่ฝึกนั่ง ตอนแรกนั่งตรงไม่ได้เลยแค่ผลักเบาๆ เราก็ล้มได้เลยมันทรงตัวไม่อยู่ แรกๆ ต้องมีคนช่วยทุกอย่างเลย ช่วงแรกมันเจ็บหนัก กินข้าวก็ยังต้องมีคนป้อน ( ใช้เวลาฝึกนานไหม ) ประมาณ 6 เดือนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ฝึกขึ้น – ลงรถเข็น ใส่เสื้อผ้าเอง อาบน้ำเอง

         ในตอนแรกคือการเริ่มออกไปใช้ชีวิตข้างนอกหลังออกจากโรงพยาบาล ตอนแรกก็ดีใจที่จะได้ไปไหนมาไหนเหมือนเดิมแล้ว แต่เวลาไปไหนก็จะมีคนมอง บางคนมองแล้วก้ยิ้มให้ก็ดีไป บางคนมองนิ่ง เราก็ไม่ริว่าเขาคิดอะไรแต่มองจนเรารู้สึกได้ พยายามไม่ใส่ใจสายตาคนอื่นเพราะถ้ามัวแต่แคร์คนอื่นก็ไม่ต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกพอดี จนตอนนี้เริ่มชินแล้วไม่รู้สึกแปลกอะไร

ความพิการเป็นข้อจำกัดอะไรในชีวิตชมพู่บ้าง อย่างไร

ที่จริงแล้วความพิการมันไม่ได้เป็นข้อจำกัดหรอกแต่สิ่งภายนอกมากกว่าที่จำกัด

ถ้าใจเราอยากทำอะไรมันก็ทำได้หมดแหละแต่บางทีแค่สถานที่ไม่เอื้ออำนวยมันก็จะเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งแล้ว มันเป็น factor ภายนอกที่มาทำให้ความพิการเกิดอุปสรรค ถ้าเราไม่มองว่าความพิการของเรามันทำอะไรไม่ได้เราก็จะสามารถทำมันได้ สมมติเรามองว่าตัวเองนั่งรถเข็นไปเที่ยวไม่ได้หรอกมันลำบากก็ไม่ได้ไปสักที แต่ถ้าเราได้ไปแล้วเห็นว่าเออเราไปต่อไม่ได้ก็ขอให้คนอื่นช่วยได้ไหม เราว่ามันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกมากกว่า

เรามักเห็นรูปคนรักในไอจีของชมพู่ เล่าถึงเขาให้ฟังหน่อย

         เขาเป็นคนดีนะ เคยไปออกรายการกับแฟนบางทีคนจะมาเม้นว่าแบบเพราะสวยหรอแฟนถึงมาชอบ แต่เราว่าคนสวยในสังคมก็มีอีกเยอะนะ เขาไม่จำเป็นต้องมาคบเราเพียงเพราะความสวย  จริงๆ คบเราก็มีเรื่องที่ต้องดูแลแตกต่างจากคนอื่นหลายอย่างแต่เขาก็เลือกที่จะอยู่ดูแล ก่อนจะคบกับเขาก็มีผู้ชายหลายคนเข้ามาจีบแต่พอเขาได้เข้ามาทำความรู้จักกันไปเที่ยวกันสักวัน พวกเขาก็จะเริ่มตีตัวออกแล้วเราก็จะทึกทักไปเองว่าเขาไม่สะดวกดูแลรึปล่าวเพราะเราก็เดินเหินไปไหนไม่ได้อะเนอะ

         แต่อย่างแฟนคนนี้ก็เลือกที่จะอยู่กับเรามา 2 ปีกว่าๆ แล้วอะ เขาเป็นผู้ชายที่ดีมาก คอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง ปกติจะทำงานบ้านเองทุกอย่าง เคยอยู่ครั้งหนึ่งไปเก็บผ้าที่ตากไว้แล้วตกรถเข็นหลังจากนั้นมาเขาก็ไม่เคยให้เราซักผ้าเองอีกเลย ( ขำ ) ไม่เคยเจอใครน่ารักกับเรามากขนาดนี้ สิ่งที่เขาทำให้เราสม่ำเสมอมาตลอดเราประทับใจตรงนี้มาก มันหายากนะ เราเคยคิดว่าตัวเราเองเคยละเลยเขาไปบ้างรึปล่าว เราก็อยากจะเป็นแฟนที่ดีให้เท่ากับที่เขาดีกับเรา

รู้สึกแตกต่างจากคนอื่นไหม เมื่อเรามีความรักที่มีความพิการมาเกี่ยวข้อง

         ไม่รู้สึกแตกต่างนะ เรามองว่าความรักของใครๆ ก็เหมือนกัน ความรักมันสวยงามนะแต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราไปเจอความรักจากใครมากกว่า ถ้าไปเจอคนไม่ดีคนที่นอกใจเรามันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาไม่รักเราแล้วหรือยังไง มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าความรักในรูปแบบคนพิการแบบเราจะแตกต่างยังไง ความรักมันขึ้นอยู่กับบุคคลมากกว่า แต่ว่าการที่เราเดินไม่ได้ทำให้การที่จะมีความรักมีคนที่เข้ามารักเรามันก็หายากกว่าตอนเดินได้นะ เรารู้สึกแต่ตอนนี้ก็เจอแล้ว ( ยิ้มเขิน )

สถานที่ท่องเที่ยวแบบไหนที่ชวนคนรักไปบ่อยที่สุด เพราะอะไร

         สถานที่ท่องเที่ยวไม่ค่อยได้ไป ส่วนใหญ่ก็จะไปเขาใหญ่บ่อยๆชอบอะไรสีเขียวๆ ทะเลเราก็ไปแต่จะไม่ค่อยลงเล่น เคยไปเล่นตรงทรายทะเลนะแล้วมันไปยากมาก แฟนจะต้องช่วยยกรถเข็นขึ้นเลยไม่ค่อยได้ไปมันลำบาก ส่วนใหญ่เราจะไปร้านอาหารเพราะเราชอบกิน กินตามรีวิวไปเรื่อย ๆ

 

ครอบครัวมีส่วนอย่างไรบ้างที่ทำให้ชมพู่เป็นชมพู่ในแบบทุกวันนี้

         มันก็มีส่วนอยู่แล้วเขาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก ชมพู่เป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ คือพ่อแม่เราต่างคนต่างมีครอบครัวใหม่กัน เราก็จะอยู่กับยายกับย่ามาตั้งแต่เด็ก ตอนยังไม่พิการเราช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่างตั้งแต่เด็กด้วยความที่เราไม่ได้มีพ่อแม่มาคอยประคบประหงมคอยดูแล แต่เราก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนะ เพราะญาติพี่น้องทั้งสองฝั่งก็ช่วยกันดูแล เราก็รู้สึกได้รับความรักต่อให้พ่อแม่เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนั่นก็ปัญหาของผู้ใหญ่ แต่มันทำให้เราเป็นชมพู่ที่เข้มแข็ง ช่วยเหลือดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง  

         ทุกวันนี้อยู่คนเดียวขับรถไปทำงานเอง ครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวพูดบอกรักกันถึงแม้จะไม่ได้บอกแต่รับรู้ได้จากการกระทำนะ  พอเราพิการแล้วมองเห็นเลยนะว่าครอบครัวรักเรามากแค่ไหน ครอบครัวคือที่หนึ่งสำหรับเรา

เคยท้อมั้ย เรื่องอะไรและผ่านมาได้อย่างไร

ความท้อมันเกิดขึ้นได้ตลอดเลย  ใครที่บอกว่าไม่เคยท้อเลยมันอาจจะเป็นไปไม่ได้บางทีไม่รู้ว่าท้อมันคืออาการเฟล อาการเสียใจขนาดไหนนะ ช่วงแรกที่เดินไม่ได้จะรู้สึกว่าทำไมเดินไม่ได้สักที บางทีอยากจะเดินไปหยิบข้าวมากินเองแต่มันทำไม่ได้ ทำไมมันยากขนาดนี้แค่ก้าวขาเอง

         แต่พออยู่กับมันมาก็รู้สึกว่าต่อให้เราเฟลที่เดินไม่ได้แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตคนเรามันต้อง move on ต้องก้าวต่อไป แม้ว่าจะเดินไม่ได้แต่เราก็ยังเป็นเราคนเดิมแค่มีอุปสรรคทางด้านร่างกายแค่นั้นเองแต่จิตใจเก็ยังเป็นคนเดิม เลยรู้สึกว่าก็ใช้ชีวิตตามเดิมแค่มันมีอุปสรรคเข้ามาอย่าให้มันมาทำร้ายชีวิตของเราทั้งชีวิต บางครั้งที่ท้อก็รู้สึกว่ามันจะผ่านพ้นไปอย่างที่มันเคยผ่านมา เจ็บมากกว่านี้ยังผ่านมาแล้ว เกือบตายยังผ่านมาแล้ว อันนี้เดี๋ยวมันจะผ่านไปนะ

วางแผนชีวิตในอนาคตอย่างไรบ้าง

         ก็คงทำงานต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสองที่ งานหนึ่งก็มั่นคง อีกงานก็เป็นงานที่เรารัก จริงอยากจะเป็นเจ้านายตัวเองอยู่นะ ที่มองไว้ตอนนี้แฟนเราทำธุรกิจแครื่องดื่ม เราก็มองว่าเขามีความรู้การทำเครื่องดื่มของเขานะ เลยอยากทำเครื่องดื่มของตัวเองเหมือนกัน ก็มีปรึกษาเขาบ้างว่าเราอยากจะทำทำวิจัยยังไงถึงจะคิดค้นรสชาติขึ้นมาได้ก็มีคิดตรงนี้ไว้แต่ตอนนี้ก็ต้องเก็บเงินก่อน เพราะมันก็มีความเสี่ยงเหมือนกันการที่เราจะเป็นนายตัวเอง แต่มันคือความฝันสูงสุดของเรานะ ถ้าวันหนึ่งมีลูกการที่เราเป็นพนักงานเงินเดือน สิ่งนี้ก็ไม่สามารถส่งต่อถึงลูกได้ แต่ธุรกิจของเราสามารถส่งให้ลูกต่อได้ : )

          ปัจจุบันเธอมีอาชีพที่มั่นคงและมีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ตลอดการสัมภาษณ์ เธอยิ้มสู้ในทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้า แม้จะเจออุปสรรคที่ยากมากแค่ไหน แต่เธอมีทัศนคติเชิงบวกและมองปัญหาเหล่านั้นให้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่เธอจะต้องก้าวข้ามผ่านไปได้ นั่นทำให้เธอกลายเป็นเธอที่เข้มแข็งในทุกวันนี้สำหรับ ชมพู่ ภัทราวรรณ พานิชชา