Skip to main content

เป็นเรื่องยากมากที่คอหนังจะไม่รู้จักเพจที่ดังที่สุดในจักรวาลอย่าง “ตั๋วร้อน ป๊อบคอร์นชีส” เพจรีวิวหนังสายฮาที่มียอดไลก์กว่า 5 แสน ซึ่งการันตีได้ถึงฝีไม้ลายมืองของเขา บ้างก็ว่าผลงานเอกอุ สะท้อนสังคม บ้างก็ว่ากวนตีน ทำให้คนยังคงติดตามผลงานอย่างยาวนาน ใครๆ ก็เรียกเขาน้าตั๋ว

ภายใต้รูปของซามูเอล แจ็คสัน จากพับฟิคชั่น ที่เขาใช้บนเพจ ชีวิตจริงของน้าตั๋วกลับผ่านร้อนหนาวสารพัดและผ่านการถูกล้อเลียนจากสังคม เพราะเขามีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ เรื่องราวของเขาให้มีคนจำนวนมากเข้ามาปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตในสังคมแม้น้าตั๋วจะเข้าใจดีว่า สังคมไทยอยู่คู่กับการล้อเลียน ดูถูกเป็นปกติมาอย่างยาวนาน แต่เขาก็ยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีและควรทำและต้องการให้สังคมทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น 

ThisAble.me ชวนจับเข่าคุยกับน้าตั๋ว แห่งเพจตั๋วร้อน ป๊อบคอร์นชีส ถึงสิ่งที่เขาเผชิญจากสังคมผ่านภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ การล้อเลียน โอกาส บทเรียนชีวิตและการทำงาน บนคำดูถูกที่ผลักดันให้เขากลายมาเป็นแอดมินเพจหนังที่ดังที่สุดน้าตั๋วเริ่มเล่าว่า ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมยิ่งในยุคที่เขา ผู้คนในต่างจังหวัดไม่ได้มีความรู้และเข้าไม่ถึง การรักษา ภาวะดังกล่าวจึงถูกปล่อยไปตามอัตภาพ ก่อนได้รับการผ่าตัดผ่านโครงการของรัฐ แม้การผ่าตัด 3 ครั้งจะไม่ได้ทำให้หายจากภาวะนี้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ชีวิตของน้าตั๋วก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก

ที่ผ่านมาเขามักบอกว่า ตัวเองเรียนไม่สูง เรียนไม่เก่ง แต่รักการทำกิจกรรม หลังเรียนจบระดับชั้นมัธยมก็เข้ากรุงเทพฯ เพื่อสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้วยทุนทรัพย์ที่จำกัด เขาตัดสินใจทำงานเพื่อหาค่าเล่าเรียนและประสบการณ์นั้นเองที่ทำให้เขาได้พบกับชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ใช้รูปลักษณ์ภายนอกเป็นตัวตัดสิน 

“งานแรกที่ไปสมัครคือ เด็กเสิร์ฟ แต่ถูกปฎิเสธเพราะกลัวจะสื่อสารกับลูกค้าไม่ได้ หัวหน้ากลัวคนเห็นหน้าแล้วกินข้าวไม่ลง” 

ตั๋วร้อน : ตอนเข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ  เราสมัครงานเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหาร เขาก็พูดตรงๆ เลยว่าเราทำไม่ได้ เพราะต้องสื่อสารกับลูกค้า ถ้าพูดไม่เข้าใจเดี๋ยวจะมีปัญหา ตอนนั้นน้อยใจแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเอง ความรู้สึกเคว้งไปหมด หางานทำก็ไม่ได้ 

พอรู้ตัวว่าทำงานแบบนี้ไม่ได้ก็ไปสมัครโรงงาน เพราะไม่ต้องใช้หน้าตาเป็นฝ่ายผลิตอยู่เบื้องหลัง ทำไปได้สักพักก็เบื่อเพราะซ้ำซากและจำเจ พร้อมๆ กับไปเป็นนักร้องกลางคืน แต่ก็รู้สึกไม่เหมาะ เลยลาออกไปเป็นเด็กล้างจานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ทำงานไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนเป็นผู้ช่วยเชฟ เป็นหัวหน้าเชฟทำอาหารฝรั่งและอิตาเลียน เรายังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเชฟเลย เรียกว่าคนทำอาหารเป็นดีกว่า ความโชคดีอย่างหนึ่งคงเป็นเพราะเจ้าของร้านเป็นฝรั่ง เขาไม่สนใจในสิ่งที่เราเป็น ถ้าเรามีความสามารถและทำงานดี เขาก็พร้อมจะผลักดัน 

หลังจากมีประสบการณ์เรื่องทำอาหารประมาณหนึ่งแล้ว ก็ไปสมัครงานครัวที่ใหม่ เจ้าของร้านคนไทยบอกว่าไม่รับเพราะเราเป็นปากแหว่งเพดานโหว่ แล้วครัวเป็นแบบเปิด กลัวคนเห็นแล้วไม่น่ามอง 

พอโดนปฏิเสธครั้งนั้น เราก็ปฏิญาณเลยว่าจะไม่กลับไปเป็นคนทำงานร้านอาหารอีกแล้ว ตอนนั้นรู้สึกเสียดายเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าอาจจะจริงที่ลูกค้าเห็นรูปลักษณ์เราแล้วอาหารจะไม่น่าทานหรือไม่สบายใจ 

นึกย้อนกลับไป รู้สึกขอบคุณที่ผลักดันให้เราได้มาทำในสิ่งที่รักจริงๆ แม้จะรู้สึกว่าต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับฝีมืออยู่เสมอ ต้องพยายามทำให้ได้เพื่อให้คนที่สบประมาทเรานั้นหุบปาก อย่ามาชี้หน้าว่ากูทำไม่ได้  ทั้งที่ไม่เคยให้กูลองทำเลย

ช่วงวัยรุ่น พอเจอคนเข้ามาล้อเลียน เราก็แก้ปัญหาด้วยกำลังเลย ต่อยเป็นต่อย เจอมาหมดทุกรูปแบบตั้งแต่ด่าว่าไอ้ปากแหว่ง ไปจนถึงล้อเสียงคำพูดที่ไม่ชัด ขนาดครูที่สอนก็ยังล้อเลียน เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนคนไม่ซีเรียสเรื่องการบูลลี่ ในคาเฟ่คนพิการก็กลายเป็นตัวโจ๊ก เอามาล้อเล่นกัน คนยังมองเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ปัจจุบันทำไม่ได้แล้วเพราะเป็นค่านิยมที่คนไม่โอเค 

โตขึ้นมาหน่อยก็มีแฟน  ถือเป็นโชคดีของผมเพราะในช่วงชีวิตที่ลำบากได้แฟนคอยซับพอร์ต ทำงานเงินเดือนไม่มาก เลยเช่าห้องเล็กๆ อยู่ และเริ่มทำเพจ ทำเพราะอยากทำ ไม่คิดว่าเพจจะทำเงินได้หรอก  เพจนี้เขียนเกี่ยวกับเรื่องหนังก็เลยมักได้ตั๋วหนังฟรีรอบสื่อ พอได้ดูหนังก่อนใครก็รู้สึกเท่มาก ได้ขิงคน แต่ความจริงคือค่ารถไปดูหนังแพงกว่าค่าตั๋วหนังอีก ก็คิดเหมือนกันว่ากูทำไปเพื่ออะไรวะ (หัวเราะ)  

พอได้ทำเพจก็รู้สึกว่า เออนี่แม่งทางของกูเลย ชอบมาก ต้องมีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ จึงผันตัวเองเป็นนักเขียนเพราะอยากเล่าเรื่อง เกือบจะได้เป็นนักเขียนในนิตยสารกับเขาเหมือนกัน แต่น้ำดันมาท่วมจนต้องยกเลิกโปรเจคเสียก่อน 

เพจ

อย่างที่บอกว่า เราเป็นคนขาดความมั่นใจในการพูดเพราะพูดไม่ชัด จนอาจถูกคนล้อเลียน งานเราเลยหนักไปทางเขียนมากกว่า แม้มีคนอยากให้ไปลองงานพิธีกรหรือทำวีดีโอ  แต่ก็พอเข้าใจข้อจำกัดตัวเองจึงไม่กล้า รู้ดีว่าถ้าต้องพูดหรือบรรยายยาวๆ จะมีปัญหา กระทั่งได้มีโอกาสไปเล่นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งของจีน เขาอยากได้คนที่ดูโหดๆ น่ากลัว เรียกได้ว่าไปแคสกันอยู่หลายรอบจนไม่มีตังค์ค่ารถ แต่ก็หวังว่าจะได้งาน จนได้งานจริงและได้บทเพิ่ม เงินเพิ่ม เอาจริงๆ เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนปากแหว่งเพดานโหว่จะได้เล่นหนังกับเขา แค่เป็นนักเขียนปลายแถวก็ดีใจแล้ว การเล่นหนังปลดล็อคความเชื่อของตัวเอง เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ  อาจต้องขอบคุณคนที่เคยปฏิเสธที่ช่วยถีบให้มาอยู่ในจุดที่เราชอบได้ทุกวันนี้ การปฏิเสธของคุณผลักให้เราออกไปเผชิญความท้าทายกระทั่งมีคนเห็นคุณค่าและชื่นชมในความสามารถ 

เราไม่ได้เปิดหน้าในช่วงแรกที่ทำเพจ บางคนเข้าใจว่าเพจตั๋วร้อนป๊อปคอร์นชีสมีแอดมินหลายคนและเราหนึ่งในนั้น ทั้งที่มีอยู่คนเดียว   เพจนี้เกิดขึ้นเพราะความชอบดูหนัง เมื่อก่อนมีหนังกลางแปลงเราก็นั่งรถ 10-20 กิโลไปดู  จนค่อยๆ ซึมซับมาตลอด ถ้าไม่เพลงก็หนังผูกพันอยู่ 2 อย่าง หนังที่อยู่ในช่วงชีวิตยุค 90 ก็คือ ‘หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ‘หลิวเต๋อหัว’ ‘โจวเหวินฟะ’ ‘โหดเลวดี’ ‘คนเหล็ก’ ‘Die Hard’ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการทำเพจด้วย การเขียนจึงเป็นเหมือนการย้อนรำลึกชีวิตของในช่วงเวลานั้นๆ  เป็นความทรงจำในลิ้นชักที่เรารู้สึกมีความสุขเมื่อได้พูดถึงมัน 

หนัง

หนังเป็นเครื่องสะท้อนตัวตนของคนอยู่เสมอ อย่างในเรื่อง Wonder ที่เล่าเรื่องของเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ เราดูแล้วร้องไห้เลยเพราะเหมือนเห็นตัวเอง เผลอๆ แย่กว่า ตัวละครในหนังยังเกิดมาในสังคมที่ดี ประเทศที่ดี ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เข้าใจ ลองตัดภาพมาประเทศแถวนี้ที่ปกติก็ไม่มีจะแดกอยู่แล้ว พอปากแหว่งเพดานโหว่ด้วยก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ตัวละครในเรื่องนี้พยายามอธิบายว่า เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา อยากให้มองเขาเป็นคนเท่ากัน เราเองก็คิดแบบนั้นเพราะบางครั้งสังคมก็เต็มไปด้วยคนที่ Over PC (Over Political Correctness)  ที่คอยโอ๋คนพิการตลอดเวลาและมองว่าคนพิการทำไม่ได้  ซึ่งเป็นการลดทอนคุณค่าของคนพิการ แต่หนังต่างกับเราตรงที่เขาจบเรื่องด้วย Feel Good  แต่ชีวิตกูแย่กว่านั้น (หัวเราะ) 

บางครั้งการล้อเลียนก็มาในลักษณะกวนตีน คนชอบถามว่าเป็นอะไรแต่ไม่ได้อยากรู้จริงๆ  เป็นเกรียนคีย์บอร์ด บางคนก็บอกว่า ทำเพจหนังนั้นง่ายๆ แป๊ปเดียวก็ดัง  ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า เบื้องหลังทำอะไรบ้าง และต้องทำงานหนักเท่าไหร่กว่าจะถึงวันนี้ที่การดูหนังกลายเป็นหน้าที่การงานไปแล้ว 

ในสื่อ ความพิการคือความแปลก และความตลกขบขันที่ถูกนำมาใช้อย่างยาวนาน ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็ตลกคาเฟ่ที่ผลิตซ้ำให้ความตลกกลายเป็นความปกติธรรมดา ทำให้ความพิกลพิการกลายเป็นเป็นความบันเทิงแฝดสยามอิน-จัน คือคนสองคนที่ติดกัน แต่กลับถูกมองว่าแปลกประหลาด น่าไปอยู่คณะละครสัตว์ คนมองอิน-จันเป็นวัตถุเสียด้วยซ้ำ จนอิน-จันได้พิสูจน์ตัวเอง ผ่านการพยายามทำให้คนเห็นว่าพวกเขามีความสามารถ

การขายสังขารมีมานานแล้วในบ้านเรา หนำซ้ำคนไม่พิการ บางคนก็เอาความพิการมาใส่ตัวเองเสมือนเป็นคาแรคเตอร์ตลก ผ่านหนัง หรือตลกคาเฟ่ก็มีให้เห็นเยอะแยะ ผมเองก็เคยเจอคนที่พยายามผลิตคาแรคเตอร์เพื่อไปออกรายการเพราะผมพูดไม่ชัดแล้วตลกดี อย่างคำว่า “เหม็นสี” พอเราพูดก็เป็นเหม็นอี๋ คล้ายๆ กับอ่างเถิดเทิง แต่ก็ปฏิเสธเพราะรู้สึกว่า อยากขายอย่างอื่นมากกว่า ที่ได้ใช้ความรู้ ความสามารถและมีความเท่เป็นของตัวเอง ยิ่งถูกบูลลี่มาทั้งชีวิตแล้วก็ไม่อยากเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นจุดขาย งานและเงินก็อยากมี แต่ขอเท่ในแบบของกูไม่ได้เหรอ คนปากแหว่งเพดานโหว่ก็เท่และภูมิใจได้ ผมหวังว่าเด็กที่เป็นปากแหว่งเพดานโหว่จะเห็นผมแล้วรู้สึกภูมิใจ ว่าคนแบบเราก็ยืนหยัดได้ แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว

ปาก

เคยมีลูกเพจทักมาว่า เขามีลูกเป็นปากแหว่งเพดานโหว่เหมือนกับเรา จะมีวิธีไหนให้ลูกอยู่ในสังคมและมั่นใจได้อย่างเราบ้าง เขากลัวถูกบูลลี่และกลั่นแกล้งจนลูกฆ่าตัวตาย เราก็อธิบายไปว่าภายใต้สังคมแบบนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะไม่ถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง การยอมรับความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากยอมรับในสิ่งที่เป็น เข้าใจว่าในสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี  ก็ให้เลือกเข้าหาคนดีที่พร้อมสนับสนุนและให้กำลังใจเรา

อีกเรื่องที่แนะนำก็คือความมั่นใจ เราเชื่อว่าคนที่เกิดมาเป็นปากแหว่งเพดานโหว่มักขาดความมั่นใจในการพูด เราเองสมัยเรียนเวลาต้องออกไปอ่านหรือพรีเซนต์งานหน้าห้องก็ถูกล้อเลียน แม้เราได้ยินเสียงชัดเจน ได้ยินคำควบกล้ำต่างๆ แต่กลับไม่สามารถออกเสียงได้แบบนั้น 

หลังคุยกัน ลูกเพจก็รู้สึกดีและมั่นใจมากขึ้น เขาบอกว่าพอเห็นเราแล้วก็รู้สึกว่าคนปากแหว่งเพดานโหว่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และอยากให้ลูกมั่นใจได้อย่างเรา เราเองแม้มีลูกที่ไม่ได้เป็นปากแหว่งเพดานโหว่ แต่ทุกคนมีโอกาสถูกล้อเลียนจากเพื่อนหรือคนที่ไม่เข้าใจ เราต้องสอนให้เขารู้จักความแตกต่าง และต้องไม่ไปล้อเลียนคนอื่น

อนาคตอยากเห็นคนหลากหลายประเภทสามารถอยู่ในภาพยนตร์หรือสื่อได้โดยปกติ ถ้ามีหนังสักเรื่องที่มีคนปากแหว่งเพดานโหว่เป็นตัวละครแล้วพูดไม่ชัด เราอยากรู้ว่าสังคมจะตอบรับอย่างไร เราอยากเห็นตัวละคร แบบ ‘ทีเรียน แลนนิสเตอร์

’ ในเรื่องGame of Thrones ที่เล่นโดยปีเตอร์ ดิงค์เลจ ซึ่งก้าวพ้นความพิการไปแล้ว คนไม่ได้มองภาพของคนแคระแต่มองเขาเป็นตัวละครหนึ่งที่มีบทบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสังคมที่อื่นเขาก้าวข้ามไปแล้ว ถ้าเป็นเมืองไทยอาจจะอยู่คณะตลก นอกจากงานแสดง ปีเตอร์ผลักดันตัวเองจนกลายเป็นผู้ชายทรงเสน่ห์แห่งปี ได้รางวัล Emmy Awards และลูกโลกทองคำ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฝีมือการแสดง ไม่ใช่ด้วยความพิการ

แนะนำหนังโดยตั๋วร้อนป็อปคอร์นชีส

Wonder (2017)

น่าจะเป็นหนังที่ตรงกับชีวิตที่สุดแล้ว มหัศจรรย์ตรงที่หนังนำเสนอแบบฟีลกู้ด แต่ก็เจ็บปวดรวดร้าวเช่นกัน ผมน้ำตาไหลทั้งเรื่องเพราะมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน แต่เราเกิดมาในสังคมไทย ซึ่งไม่ได้ซีเรียสเรื่องการบูลลี่แบบเมืองนอก เลยโดนหนักกว่าอ๊อกกี้ (ตัวละครหลัก) คิดว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจในตัวอ๊อกกี้ได้ดีเท่าคนที่เกิดมาผิดปรกติคล้ายๆ กันอย่างผมอีกแล้ว

The Theory of Everything (2014)

เรื่องนี้ออกแนวยอมใจในสเน่ห์ของสตีเฟน ฮอว์คิง เพราะแม้จะพิการก็ยังมีเมียได้ตลอด แถมเขียนหนังสือเชิงวิชาการได้เล่มหนาเตอะโดยใช้เครื่องมือช่วยผ่านการขยับนิ้วและกระพริบตา ผมเห็นแล้วขี้เกียจแทน

Wrong turn

แม้เรื่องนี้ไม่น่าจะจัดอยู่ในลิสต์ แต่ผมดูทุกภาค แน่ใจเลยว่าตัวประหลาดไล่ฆ่าคนโหดๆ ในหนังเป็นปากแหว่งเพดานโหว่แน่นอน เป็นหนังที่ใจร้าย เอาความไม่สมบูรณ์ของโรคนี้มานำเสนอให้คนเกลียด แต่ก็มันส์มากเช่นกัน

Bang Bang You're Dead (2002)

เชื่อว่าในเมืองไทยมีไม่กี่คนที่ได้ดู หนังไม่ได้พูดถึงความพิกลพิการ แต่พูดถึงการบูลลี่กันในสถานศึกษาและวันหนึ่งที่คนถูกบูลลี่ลุกขึ้นมาเอาคืน หนังเรื่องนี้ดีมาก สร้างจากละครเวทีในคาบวิชาการละครของฝรั่ง โดยเล่าผ่านฉากประชุมผู้ปกครอง ที่มีพระเอกเป็นเด็กถูกบูลลี่และเอาคลิปมาแฉให้ผู้ปกครองเด็กเหี้ยพวกนั้นได้รับรู้ว่าลูกมึงเป็นยังไง  ดูแล้วสะใจมาก

กอด (2008)

เป็นการนำเสนอความพิการในแบบที่เกินขึ้นมา ผมชอบมากที่คนสามแขนกับคนนมใหญ่เกินไป ต้องร่วมหัวจมท้ายกัน ในสายตาคนอื่นอาจมองว่าพระเอกพิการ แต่ถ้าทฤษฎีแล้วแม่งถือว่าได้เปรียบมากนะ อย่างน้อยพระเอกก็สามารถเปิดหนังสือโป๊ช่วยตัวเองได้ถนัดกว่าคนอื่น สองมือก็เปิดหนังสือได้อย่างแม่นยำและอีกมือหนึ่งก็สาว (หัวเราะ)