Skip to main content

“เหมือนคนติดคุก” 

เป็นความรู้สึกของป๊อบเมื่อครั้งที่เขาต้องอยู่แต่กับบ้าน  เช่นเดียวกับคนพิการรุนแรงอีกหลายคนที่ยังไม่เคยได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกหลังจากเกิดความพิการ หากไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือเพื่อน เราอาจไม่รู้จักคนพิการติดเตียงมากนัก มองไม่เห็นถึงชีวิต กิจวัตรประจำวัน และความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่ในบ้านมานานหลายปีหรือบางครั้งก็หลายสิบปี 

เราเจอเพจ ”คุณพ่อวีลแชร์” ผ่านการแชร์ต่อๆ กันมา เพจนี้รีวิวการท่องเที่ยวพ่อลูกที่เผินๆ ก็ดูธรรมดา แต่หากสังเกตจะพบว่า ตัวหลักของทุกเรื่องราวเป็นพ่อที่นั่งวีลแชร์กับลูกสาวที่นั่งตักพ่อไปไหนมาไหน ชวนคุยกับป๊อบ - ธนากร กล่อมรักษา , กิ่ง -  วนิดา ทิมสถิตย์ และของขวัญ ลูกสาว ครอบครัวผู้ปลุกปั้นรายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจนี้  มาสัมผัสชีวิตหลังเกิดความพิการรุนแรงว่าอะไรทำให้พวกเขาออกไปท่องเที่ยว เจอผู้คนและสังคมพร้อมสะท้อนอุปสรรคระหว่างทางที่พวกเขาต้องเจอเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งอำนวยความสะดวกสำคัญต่อคนพิการมากขนาดไหน 

สาเหตุความพิการเกิดจากอะไร

ป๊อบ : ผมพิการโดยไม่มีสาเหตุ นอนอยู่แล้วปวดต้นคอ หลังจากนั้นไปตรวจจึงพบว่า มีลิ่มเลือดทับไขสันหลัง ซี่ที่ ซี5 ซี6 ทำให้ตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไปใช้การไม่ได้ มือใช้ไม่ได้ แต่แขนยกได้ ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  หมอบอกว่า อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุในอดีต แต่ผมเองก็จำได้ว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุแรงๆ เลย 

ชีวิตก่อนพิการเป็นอย่างไร

เมื่อก่อนทำงานเป็นธุรการ เงินเดือนพอใช้ได้ แต่พอพิการก็ต้องลาออก และไม่ได้ทำงาน ตอนนั้นแฟนท้อง 2 เดือนแต่ชีวิตกลับเคว้ง มืดแปดด้าน สิ่งที่เคยคิดไว้พังลงมาหมด รถก็ติดผ่อน ลูกก็จะเกิด แต่ผมกลายเป็นคนไม่มีรายได้ ต้องให้แฟนดูแลรับผิดชอบทั้งหมด

ปรับตัวอย่างไรบ้าง

เราเหมือนคนติดคุก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ วันๆ มองแต่ห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีสิทธิไปไหน ขยับตัวเองยังไม่ได้ จนเกิดเป็นแผลกดทับ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากผมได้ไปศูนย์ฟื้นฟูคนพิการสิรินธร เขาสอนให้เราพลิกตัว ขึ้นวีลแชร์ เข็นวีลแชร์ ทั้งที่ตั้งเป้าว่าแค่พอไถตัวไปไหนมาไหนได้ก็พอ แต่ที่นี่มีเทคนิคและวิธีการยกหรือกระดกขึ้นบันได ผมเริ่มหัดเรื่อยๆ ปัจจุบันยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ แต่ก็น้อยลง

จากวันที่เริ่มป่วยจนถึงวันที่กายภาพระยะเวลาเท่าไหร่

1 ปีก่อนทำกายภาพ ผมลองมาทุกอย่าง ทั้งฝังเข็ม นวด ลองทุกศาตร์ แต่ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น ช่วงแรกเป็นช่วงที่เราหวังว่า จะหายกลับเป็นเหมือนเดิม ตอนนั้นยังรับตัวเองไม่ได้ว่าจะต้องกลายเป็นคนพิการ ตอนฟังหมอพูดว่า “ไม่มีทางกลับมาเดินได้แล้ว” ผมร้องไห้เลย ผมทำใจไม่ได้

กิ่ง : หมอบอกว่า ช่วงระยะเวลาพักฟื้นอยู่ที่ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี หลังสิ้นสุดการรักษาจากโรงพยาบาลและกลับมาอยู่บ้านเราก็เริ่มรู้ว่าเขาจะไม่หาย 3 เดือนผ่านไป 6 เดือนผ่านไป ถึง1 ปี เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว  เราถึงได้แน่ใจว่าเขาคงไม่กลับมาเดินแล้ว  

ป๊อบ : ผมไม่อยากเชื่อสิ่งที่หมอพูด ไม่อยากยอมรับความพิการที่เกิดขึ้น พยายามทุกวิธีที่คิดว่าทำแล้วจะหาย ครั้งสุดท้ายหมอที่โรงพยาบาลพูดว่า “ไม่ต้องไปหาที่อื่นแล้วนะ ไม่ต้องไปเสียตังค์แล้ว” ผมเลยคิดได้ว่า ต้องเริ่มทำใจแล้ว หลังจากนั้นถึงเริ่มกลับไปทำกายภาพ 

ตอนนี้ช่วยเหลือตัวเองได้แค่ไหน

ตอนนี้ขับถ่ายเองไม่ได้ ต้องใช้สายสวนและยาสอด นอนเองได้ แต่ต้องมีคนช่วยขึ้นรถวีลแชร์ เรานอนอยู่บนเตียงนาน จนเกิดแคลเซียมเกาะในกระดูก ช่วงขางอไม่ได้ ลุกเองไม่ได้ เราไปปรึกษาหมอที่จะให้ผ่าออก แต่เขาบอกว่าอย่าผ่าเลย เพราะไม่คุ้ม 

ช่วงที่เพิ่งพิการใหม่ๆ ทำอะไรยากที่สุด

ช่วงพิการใหม่ๆ แค่พลิกตัวก็ยาก ป้องกันแผลกดทับก็ยาก เพราะเราไม่รู้วิธี ว่าต้องจัดการอย่างไร เราต้องหัดพลิกตัว หัดนั่ง หัดยันแขน ไปจนถึงหัดขึ้นรถเข็น จนกว่าจะรู้ว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ หากทำไม่ได้ ก็ยอมรับ ตอนนั้นแค่ขยับตัวได้ก็ดีใจมากแล้ว รู้สึกว่าชีวิตพัฒนา ไม่ต้องนอนนิ่งๆ เหมือนคนตาย

อะไรเป็นสิ่งกระตุ้นให้อยากออกมาใช้ชีวิต

เริ่มจากแม่ เขามองหาที่รักษาเรื่อยๆ แม้ผมไม่ได้อยากไป แต่ก็ต้องลอง ลูกก็เป็นอีกเหตุผล เราอยากเล่นกับเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เราเริ่มฝึกใหม่ เริ่มลงมานั่งรถเข็น จากในห้องก็ขยับออกมาหน้าบ้าน แค่นิดเดียวแต่ไม่ง่ายเลย เข็นไปได้นิดเดียวก็เหนื่อยมาก เพราะปอดทำงานไม่ดี  

บางคนก็พูดว่าผมโดนของ หรือเป็นโรคเวรโรคกรรม ผมรับไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่คำว่า โรคเวรโรคกรรม แต่ตอนนั้นไม่ว่าใครพูดอะไรเราก็หงุดหงิดโมโหไปหมด อาจเพราะผมเป็นคนชอบทำกิจกรรม เล่นกีฬาทุกอย่าง ทั้งฟุตบอล แบดมินตัน บีบีกัน ว่ายน้ำ กลางวันตีแบต เย็นไปเตะบอล เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อนตลอด คนยังพูดว่า  ผมไม่น่าพิการเพราะเป็นคนแข็งแรง

เพจ คุณพ่อวีลแชร์ เริ่มต้นขึ้นตอนไหน

เพจนี้ทำมา 1-2 ปี เริ่มจากจากไปหาหมอทุก 4 เดือน หมอมักถามตลอดว่าคุณจะทำอาชีพอะไร มีกิจกรรมทำไหม เรารู้สึกหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่าหมอถามทำไม เพราะใช้ชีวิตปกติยังไม่ได้แล้วจะทำงานได้ยังไง แฟนผมเลยชวนออกไปข้างนอกแล้วถ่ายวีดีโอลงยูทิวป์ แม้จะตัดต่อไม่เป็น อุปกรณ์ก็มีแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว แถมพูดไม่รู้เรื่อง แต่ก็อยากลอง เราเลยบอกหมอไปว่าจะทำยูทิวป์ 

คลิปแรกเราเริ่มที่ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน โดยแฟนเป็นคนคิดชื่อเพจว่าคุณพ่อวีลแชร์ ด้วยคอนเส็ปที่ว่า ถ้าคุณไปได้ ผมก็ไปได้ ผมพาไปดูการใช้งานวีลแชร์ตามสถานที่ต่างๆ ว่าสะดวกแค่ไหน เริ่มจากห้าง ตลาดนัดและต่างจังหวัด ผมเรียนรู้การตัดต่อในโทรศัพท์จากคลิปในยูทิวป์

สถานที่ที่ท้าทายที่สุดคือที่ไหน

ทะเล ผมเข็นรถลุยทราย  เพราะอยากนั่งริมทะเลครอบครัวนั่งริมน้ำแต่เราไปไม่ได้ พอนั่งไกลก็ต้องมีคนมานั่งเฝ้า เขาก็อดเล่นทะเลวันนั้นเลยตัดสินใจเข็นรถไปให้ใกล้ทะเลที่สุดเท่าที่จะไปได้ แม้เคยไปทะเลกับครอบครัวหลายครั้ง แต่ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เราอยู่ใกล้ครอบครัวและทะเลมากที่สุด

ครั้งแรกที่ไปทะเล พี่ที่ไปด้วยช่วยเข็นรถตอนไปร้านอาหาร ระหว่างเข็นขึ้นทางลาด มีรูท่อน้ำ และล้อข้างหนึ่งตกลงไป เราล้มจนตกจากรถเข็น แต่สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ผมยินดี ไม่เคยโทษพี่เขาเลย ถ้าได้ออกแล้วผมไม่เคยโทษใครยินดีทุกอย่างเลย แต่ก่อนรู้สึกไม่ค่อยอยากออกไปไหนมาไหนแต่เดี๋ยวนี้ขอให้เราได้ไป

อะไรทำให้หลังพิการแล้วไม่อยากออกจากบ้าน 

เพราะรับสภาพตัวเองไม่ได้ เพื่อนบอกผมว่าไม่อยากมาหา เพราะรู้สึกว่ารับสภาพไม่ได้ เราเองก็เหมือนกัน นอนไม่ค่อยหลับ ถึงกินยานอนหลับแล้วก็เพ้อ จนต้องไปหาจิตแพทย์ สิ่งเหล่านี้ใช้เวลา การออกมาข้างนอก มาเจอสังคมนั้นคลายล็อกความรู้สึกบางอย่าง เห็นคนในสังคมไม่น้อยคอยช่วยเหลือเราเวลาไม่มีทางลาด พอเพื่อน และครอบครัว รู้ว่าเราชอบออกไปเที่ยวข้างนอก เขาก็มารับเราบ่อยจน เกรงใจ เราเลยต้องพยายามออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง

ไปที่ไหนแล้วประทับใจที่สุด

ประทับใจรีสอร์ทแห่งหนึ่งแถวพัทยา เขามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการครบครัน ตั้งแต่ทางลาด พื้นหน้าห้อง ทางออก จนถึงพื้นที่เล่นน้ำก็เป็นทางลาด ไม่มีจุดไหนที่เราไปไม่ได้เลย เราไปเองได้ทั้งหมด

ไปได้เองทั้งหมดแล้วสำคัญอย่างไร

การให้คนอื่นช่วยก็ไม่ยาก แต่ทุกคนก็อยากทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งนั้น แค่เดินทางไปซื้อของใกล้ๆ ต้องวุ่นวายคนอื่นมาช่วยเหลือ ก็คงไม่ใช่ เราไม่อยากจะเป็นภาระกับใคร  

กิ่ง : เราประทับใจเดอะมอลล์ ก่อนแฟนพิการเราไปบ่อยมาก แต่ไม่เคยสังเกตเรื่องลิฟท์หรือที่จอดรถ พอพิการและถ่ายคลิปเราก็เห็นมากขึ้นว่าพี่ๆ รปภ. ค่อนข้างอำนวยความสะดวกกับเราดีมากเลยทีเดียว  

ป๊อบ : เราอยากใช้คำนี้ คำว่าเกินฝัน คือมันเกินความประทับใจ คือฮ่องกงและญี่ปุ่น ก่อนไปเรากังวลใจตลอดว่า พิการแล้วจะขึ้นเครื่องบินอย่างไร พอไปถึงจะทำยังไงต่อ เพราะเราไม่รู้ขั้นตอน พอไปถึงสนามบินแล้วก็แจ้งเขาว่าเราเป็นคนพิการ เขาก็ใช้รถเข็นวีลแชร์คันเล็กๆ มารับ เพื่อให้สามารถเข้าไปในช่องว่างระหว่างที่นั่งบนเครื่องบินได้

ที่ฮ่องกงการเดินทางด้วยรถไฟสะดวกสบายกับคนพิการมากๆ มีลิฟต์และทางลาดอำนวยความสะดวก เราไปที่ไหนก็ได้  เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น สิ่งที่ทรมานสำหรับเราคืออุณหภูมิ หนาวมากเนื่องจากระบบการระบายของร่างกายผมผิดปกติ เลยสั่นตลอดเวลา แต่เรื่องก็มีแต่ความประทับใจ

เราไม่มั่นใจว่า สิ่งอำนวยความสะดวกในต่างประเทศนอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยว จะสะดวกหรือไม่ อย่างในบ้านเรา ที่ที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่สะดวก หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวเอง สิ่งอำนวยความสะดวกที่สร้างก็ใช้ไม่ได้จริง เช่น ทางลาดที่สูงชันเกินไป ห้องน้ำคนพิการที่ใช้การไม่ได้  แต่สิ่งที่เหห็นไ้ด้ชัดคือในต่างประเทศ รถเมล์มีความพร้อมที่จะรับคนพิการ คนขับรถเมล์เองพอเห็นคนพิการ ก็จอดรถและปรับทางลาด ให้รถวีลแชร์ขึ้นมาได้ ส่วนบ้านเราเพิ่งจะเริ่มมีมาไม่นานนี้เอง 

การได้ออกไปข้างนอกนั้นดีอย่างไร 

อย่างแรกเลยคือเรื่องใจ การออกไปข้างนอกทำให้เราไม่หดหู่ ความพิการทำให้เป็นคนเหงา เพราะต้องอยู่แต่ในห้อง ต้องเรียกคนอื่นตลอด พอได้ออกไปเจอผู้คน ได้ออกไปเที่ยว ใจก็เบิกบาน ความเครียดก็ลดลง นี่อาจจะเป็นมุมมองที่คนไม่พิการอาจไม่รู้สึก อาจจะมองไม่ออก ว่าการอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแล้วเครียดอย่างไร แต่สำหรับคนพิการรุนแรงที่อยู่ติดบ้านมันหนักหนามาก เราออกไปเที่ยว ลูกก็ได้ออกมาด้วย พวกเรามีความสุขกันมากขึ้น

ดูจากคลิปแล้วคือออกไปเที่ยวกับลูกตลอดเวลาเลยใช่ไหม

เขาต้องอยู่ข้างๆ เราตลอดเวลาเพราะเราไปกัน 3 คน แฟนดูแลเราเป็นหลัก แต่จะปล่อยให้ลูกเดินคนเดียวก็ไม่ได้ เราเลยเอาลูกมานั่งตัก แต่พอเขาเริ่มโตขึ้น เราก็เริ่มปล่อย

ประเทศไทยมีคนพิการเยอะ แต่คนในสังคมอาจจะไม่ค่อยเห็น ฉะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกจึงสำคัญมาก ทำให้คนพิการได้ใช้ชีวิตปกติ ถ้าเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี  คนพิการจะมีอาชีพกันมากขึ้น ได้ออกไปไหนมาไหนเองและไม่เป็นภาระกับใคร

ทำไมถึงคิดว่าเป็นภาระ การมองว่าตัวเองแบบนี้ กระทบอะไรในชีวิตบ้าง 

ในช่วงแรกที่พิการ เราคิดว่าตัวเองเป็นภาระกับคนอื่น 100% เลย จากคนที่เคยเป็นแกนหลัก ต้องให้แฟนและพ่อแม่คอยดูแล มีลูกแต่ก็ไม่สามารถจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองได้ จนคิดฆ่าตัวตาย แต่ไม่เคยทำ ตอนนั้นคิดว่า จะทุบกระจกแล้วเอามาปาดคอตัวเองดีไหม ให้ตายแล้วจบไปเลยได้ไหม แต่ใจก็ทำไม่ได้ เราผ่านจุดนั้นได้เพราะครอบครัว ทุกคนทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้

แสดงว่าครอบครัวและคนรอบตัวสำคัญ  

ป๊อบ : มาก กำลังใจสำคัญที่สุด เราเกลียดคำคำถามว่า  ‘เป็นอย่างไรบ้าง’ เพราะเราตอบไม่ได้ รู้แค่ว่าเราก็เป็นเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แต่พอใครมาหาก็ต้องถามกันแบบนี้ “เป็นอย่างไรบ้างดีขึ้นหรือยัง” คำแบบนี้ได้ยินแรกๆ เราหงุดหงิด 

หากถามว่าปัจจุบันยังรู้สึกเป็นภาระไหม ก็รู้สึกนะ แต่น้อยลง เราพยายามทำสิ่งที่ทำได้ เช่น สอนการบ้านลูก ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ

กิ่ง : ตอนเขาพิการช่วงแรกใจเราก็เสียนะ เพราะก่อนหน้านั้นเราวางแผนไว้หมด เวลาเห็นคนอื่น พาแฟนไปกินข้าวเราก็คิดบ้างว่าทำแบบนั้นไม่ได้ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าคิดมากไม่ได้ กลัวจะมีผลถึงลูก พยายามไม่เครียด

ป๊อบ : มีวันหนึ่งแฟนออกไปกับเพื่อนเราไม่ได้ไป ต้องนอนอยู่บ้าน เขาบอกจะกลับเวลานี้ แต่เลยมาเป็นชั่วโมง เรารู้สึกโกรธ งอนไม่พูดด้วย เขาร้องไห้มากอดเรา ทำให้เราคิดได้ว่า ทำไมเขาต้องมาตัวติดเราตลอดเวลา เราเองก็ต้องคิดถึงใจคนอื่นบ้าง ให้เขาได้ไปกับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่อยู่กับเราคนเดียว พอได้คุยกันก็กอดกันร้องไห้เลย 

อีกคนที่มีผลกับเรามากคือพ่อแม่ พวกเขาเหนื่อยกับเรามาก เขามีอาชีพขายของ ขายข้าวแกง ตื่นนอนตอนตี 3 พอขายของเสร็จช่วงเที่ยง ก็มาหาเราบ่ายโมง พาไปกายภาพแล้วก็กลับมาส่งบ้าน  

กิ่งมีวิธีจัดการอย่างไร เมื่อชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

กิ่ง : เรามีฐานครอบครัวค่อนข้างดี พ่อแม่เราก็พยายามช่วยเลี้ยงลูก เพื่อนก็ช่วยดูแล มีคนเคยถามว่า ทำไมเราไม่ส่งแฟนไปอยู่กับครอบครัว ทำไมต้องเอามาดูแลด้วยตัวเอง ช่วงที่มีลูกเล็กทำไมไม่ให้เขาไปอยู่กับแม่ เราเคยคุยกันเรื่องนี้ และเราเองก็คิดว่า ที่บ้านเขาดูแลดีกว่าเราเสียอีก แต่เขาบอกว่าอยากอยู่ที่นี่กับเราและลูก อีกคำพูดที่เคยได้ยินคือ ถ้าเป็นเขาเขาเลิกไปแล้ว ไม่ทนหรอก เขาบอกว่าเราอดทนดี ทำไมยังคบคนพิการ เราคิดว่าเหตุผลของเราคือนิสัย เราอยู่ด้วยกันจนมองมองเห็นข้อดี ข้อเสีย ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะพิการหรือไม่ จึงไม่ใช่เหตุผล

ป๊อบ : ตั้งแต่คบกันมาเราไม่เคยทะเลาะกันแรงๆ ไม่เคยตบตีหรือพูดคำหยาบใส่กัน เราคบกันมาก่อนจะแต่งงาน 10 ปี หรือก่อนพิการ 7 ปี รวมเป็น 17 ปี คิดว่าเพราะเรามีฐานที่ดีตรงนั้น ความพิการเลยไม่เป็นปัญหา

อนาคตจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง

มีแต่ไม่กล้าคิดเยอะ เพราะการเที่ยวทุกครั้งมีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้เราเพิ่งได้รถเข็นที่เปียกน้ำได้มา ซึ่งตอนนี้ใช้นั่งอาบน้ำ เลยคิดว่า  ปีนี้จะได้เล่นสงกรานต์กับเพื่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้เล่นเพราะปีนี้งด (หัวเราะ) 

หลายคนมองว่าคนพิการ ไม่ควรมีครอบครัว มองเรื่องนี้อย่างไร 

คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน แต่ส่วนตัวอยากมีลูกมาก เราอยากมีครอบครัว การมีลูกคือการเติมเต็ม เราได้เห็นเขาเติบโต 

ถ้าพิการก่อนมีลูก เราอาจจะคิดอีกแบบ แต่พอดีว่ามีก่อนพิการ   ในเมื่อเขามาแล้วเราก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด แต่ถ้ามีแล้วลำบากคนอื่นก็ควรพิจารณา เพราะเราเองก็ดูแลคนเดียวไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาแต่เราช่วยเหลือไม่ได้ เราคงเสียใจมาก

ลูกเคยถามไหมว่าทำไมพ่อถึงนั่งวีลแชร์

เคย เราก็ตอบเขาตรงๆ บอกว่าป๊าไม่สามารถเดินได้เขาก็จะมีคำถามตลอดว่า ถ้าป๊าวิ่งได้ ถ้าป๋าเดินได้จะทำสิ่งนั้นไหม จะทำสิ่งนี้ไหม เราบอกลูกเสมอว่าป๊าทำได้ทุกอย่าง เมื่อก่อนป๊าตีลังกาได้ด้วยซ้ำ 

ผมเคยถามลูกว่า อายเพื่อนไหมที่ป๊านั่งวีลแชร์  เขาตอบว่าไม่อาย ผมกลัวว่า ลูกจะโดนเพื่อนล้อ จนตอนนี้ยังไม่เคยไปโรงเรียนลูกเลย แอบกลัวนิดหน่อย แต่ถ้าวันหนึ่งที่ต้องไปก็จะไป ตอนนี้ลูกผมเขาก็เป็นคนไปชวนเพื่อนมากดไลค์ กดแชร์เพจเรา (หัวเราะ)