Skip to main content

เคยคิดกันไหมว่าถ้าเราหลับตาเดินหอศิลป์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?

การไปแกลอรี่ หรือหอศิลป์อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับใครหลายคน บางคนอาจต้องการพักผ่อนหย่อนใจ บางคนต้องการไปเสพงานศิลปะ หรือกระทั่งพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง  แต่เคยจินตนาการกันไหมว่าถ้าไปหอศิลป์โดยที่มองไม่เห็น เราจะยังสนุกและรู้สึกดื่มด่ำกับมันได้อยู่หรือเปล่า

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เราเดินเที่ยวหอศิลป์พร้อมกับปิดตาตัวเองลงให้แน่น เดินชมนิทรรศการที่จินตนาการไม่ออก 

-- --

“สนใจอยากลองปิดตาเดินหอศิลป์ด้วยกันไหม”

พี่พลอย-สโรชา พี่สาวซึ่งพิการทางการมองเห็นชวนเรา เราไม่เคยทำมาอะไรแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกมากมายปะปนกันไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ตอบตกลงไปอย่างไม่ลังเล เอาวะ! จะหาประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ

ว่าแล้วก็หลับตาลง พร้อมกับเกาะแขนพี่พลอยไว้แน่น จุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งนี้อยู่ที่ชั้น 9 ของหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ภารกิจแรกของงานนี้คือการขึ้นลิฟต์ไปยังนิทรรศการ เราสองคนเดินเข้าลิฟต์และกดไปชั้นที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ทำไมมันง่ายจัง เรายังคิดอยู่ในใจ

แต่การผจญภัยจริงๆ เริ่มตรงนี้ต่างหาก พอออกมาจากลิฟต์แล้วการมองไม่เห็นอะไรเลยก็เริ่มไม่สนุก หลังจากที่เดินตามพี่พลอยได้ไม่กี่ก้าว ก็เกิดความระแวงขึ้นมาว่า ทางข้างหน้าจะมีอะไรขวางทางอยู่ไหม จะเตะอะไรเข้าหรือเปล่าเพราะในหัวเราพอจินตนาการได้ว่าหอศิลป์มักมีงานศิลปะวางอยู่ที่พื้น ถ้าเดินเหยียบขึ้นมาไม่ตลกแน่ๆ และดูเหมือนพี่พลอยจะดูออก จึงหันมาพูดอยู่ว่า ‘ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะพาเราเดินเอง’

พอได้ฟังประโยคนั้นมันทำให้เรามีกำลังใจอีกครั้ง จนเดินถึงงานศิลปะชิ้นแรก โชคดีที่สามารถสัมผัสได้ พอเราสัมผัสกับงานนั้นก็สงสัยทันทีว่ามันคืออะไร? ในหัวพยายามคิดถึงสิ่งของที่รูปทรงใกล้เคียงกับสิ่งที่สัมผัสได้ แต่ก็คิดไม่ออก จนมีพี่บอกว่าสิ่งนี้เป็นงานเกี่ยวกับเครื่องครัวไทย ถึงได้รู้ว่าที่เรากอดอยู่มันคือเตาแก๊ส

จากสิ่งที่คุ้นเคยตอนนี้กลายเป็นว่าไม่รู้มันคืออะไรไปแล้ว

 


ชูก้า(ซ้าย) และพลอย(ขวา) พยายามฟังเสียงจากวิดีโอที่อยู่ตรงหน้า

หลังจากขำกับความไม่รู้ของตัวเองได้ไม่นานก็ได้เวลาไปต่อ สองขาที่ค่อยๆ ก้าวไปแบบลากขา มือขวาที่ไม่ได้จับพี่พลอยก็ยื่นไปข้างหน้าอัตโนมัติเพราะกลัวว่าจะเดินไปชนอะไรเข้า ในหัวจิตนาการว่าข้างหน้าจะต้องมีอะไรแน่ๆ คิดแล้วก็กลัวจริงๆ

งานศิลปะบางชิ้นสามารถฟังเสียงได้ด้วย เราจึงไม่รอช้าที่จะฟังเผื่อว่าจะเข้าใจผลงานมากขึ้น แต่กลายเป็นว่าหูฟังที่นิทรรศการมีให้นั้นฟังได้แค่ข้างเดียว แถมมีแค่เสียงธรรมชาติกับเสียงนกคลอเบาๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนโดนให้ความหวังแล้วทิ้งไว้กลางทางสุดๆ

สุดท้ายเราสองคนก็ไม่สามารถเข้าใจผลงานชิ้นนี้ได้ เพราะนอกจากเสียงแล้วก็ไม่มีอะไรที่เรารับรู้ได้อีก มันสัมผัสไม่ได้ จึงได้แต่ปลอบใจกันเองและไปที่ผลงานชิ้นต่อไป กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงงานศิลปะชิ้นหนึ่ง คนที่มองเห็นเล่าว่ามันคืองานประติมากรรมรูปโต๊ะกับเก้าอี้ที่เอียงไปทางซ้าย ‘เอียงไปทางซ้ายคืออะไรวะ’ เราคิดในใจ ด้วยเพราะประติมากรรมชิ้นนี้จับไม่ได้ จึงทำให้เรามีปัญหาในการตีความมาก แม้ในหัวเราจะมีภาพเก้าอี้ แต่พอได้ยินว่าชิ้นนี้หน้าตาเหมือนเก้าอี้เบี้ยว เราก็จินตนาการไม่ออกว่าเบี้ยวแบบไหน เบี้ยวเพราะลืมกด Ctrl+ T หรือเบี้ยวแบบเอียงทั้งตัว


พลอยและชูก้าฟังเสียงจากเว็บไซต์ บนแถบคิวอาร์โค้ดที่เจอบนพนัง

ทั้งที่ยังคาใจอยู่แต่ก็ต้องเดินต่อ ผลงานชิ้นต่อไปเป็นภาพวาดของศิลปินชื่อดัง ถึงแม้จะไม่สามารถสัมผัสได้แต่ข้างๆ งานมี QR Code อยู่ พี่พลอยจึงหยิบมือถือสแกนทันที ในตอนแรกเราคิดจะมีอธิบายผลงานเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจงานชิ้นนั้นมากขึ้น แต่ปรากฏว่า! QR Code นำไปสู่เว็บไซต์ของหอศิลป์ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับงานศิลปะชิ้นนี้เลยแม้แต่น้อย เป็นการอกหักครั้งที่สอง ตอนนี้เรารู้สึกเคว้งคว้างมาก

ไม่เป็นไร มันต้องมีศิลปะสักชิ้นสิที่คนตาบอดสามารถเข้าใจได้

เราถามพี่พลอยว่า ถ้าเดินจนทั่วแล้วแต่ไม่มีงานชิ้นไหนที่เราสองคนเข้าใจได้เลยแล้วจะทำอย่างไรกันดี แต่พี่พลอยก็ยังยิ้มและบอกว่า ‘ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย’ ถึงจะแปลกใจที่พี่พลอยคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เราในตอนนี้เริ่มที่จะไม่สนุกกับการเดินหอศิลป์ซะแล้ว

ระหว่างที่เดินไปด้านข้างเป็นผลงานศิลปะอีกชิ้นที่คนบอกกันว่า ชิ้นของมันใหญ่กว่าตัวเรามาก เป็นรถเข็นที่กองทับกันจนเป็นภูเขาสูง แต่เราก็นึกไม่ออกว่า รถเข็นที่ว่านั้นเป็นรถเข็นแบบไหน และที่กองเป็นภูเขานั้นจะสูงและใหญ่ขนาดไหน

เดินเลยภูเขารถเข็นมาแล้วจะเจองานศิลปะอีกชิ้นที่สัมผัสโดยการเหยียบ ตอนแรกเราก็แปลกใจว่าทำไมมันสามารถเหยียบได้ แต่ก็เข้าไป เท้าสัมผัสทางขรุขระคล้ายช่องห้าเหลี่ยมของรังผึ้งเป็นทางยาว นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้ ไม่รู้ว่าถ้ามองในมุมกว้างจะเป็นรูปทรงอะไรหรือมีการเพ้นท์รูปอะไรไว้หรือไม่ ที่รู้ได้แน่ๆ คือหากคนตาบอดเดินคนเดียวอาจจะสะดุดล้มได้และคนพิการที่วีลแชร์ไม่สามารถผ่านไปได้

เมื่อผ่านทางขรุขระมาได้แล้วจุดต่อไปเป็นห้องโชว์ผลงาน เรารู้สึกถึงห้องโถงไม่ใหญ่มาก ทึบมืด มีดนตรีดังไปทั้งห้อง คนตาบอดไม่รู้ว่าผลงานตรงหน้ามีรูปร่างเป็นอย่างไร เพราะได้ยินแต่เสียง พวกเขารับรู้อารมณ์ของผลงานได้น้อยจริงๆ

ตอนนี้เหมือนจะเริ่มถอดใจไปนิดๆ แล้วว่า ไม่มีงานศิลปะชิ้นไหนเลยที่คนตาบอดจะสามารถเข้าใจได้ จนจุดสุดท้ายบริเวณกำแพงขนาดใหญ่ คนอื่นๆบอกว่า จุดนี้มีรูปงานศิลปะและมีข้อความยาวเป็นบทความติดอยู่ที่กำแพงนั้น เรากับพี่พลอยเข้าไปคลำดู รู้สึกถึงตัวหนังสือ แต่ไม่รู้เลยว่าเขียนว่าอะไร กว่าจะรู้ว่านี่คือตัวก.ไก่ก็กินเวลาไปกว่า 10 นาทีแล้ว เราสองคนเลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะอ่าน

เมื่อเสร็จภารกิจปิดตาเที่ยวหอศิลป์ เราก็ลงลิฟต์กันปกติ แต่มีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้น จู่ๆ พี่พลอยก็พูดขึ้นว่า อักษรเบรลล์ตรงปุ่มกดลิฟต์นั้นอ่านไม่ออก ทำเอาอึ้งกันทั้งลิฟต์ พี่พลอยให้เหตุผลว่าอักษรเบรลล์อาจจะเป็นภาษาของประเทศที่ผลิตลิฟต์ตัวนี้ จึงไม่ใช่เบรลล์ไทย เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ของเราเลย เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า เบรลล์เป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลก

การปิดตาเดินหอศิลป์ในวันนี้ทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น ความสนุกอยู่ตรงที่เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะอยู่ข้างหน้า สนุกที่ได้เจอพี่พลอยและเรียนรู้มุมมองของพี่พลอย เข้าใจคนตาบอดที่มาเดินหอศิลป์ แต่นอกจากความสนุกแล้ว ความรู้สึกอีกอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ‘ความไม่เท่าเทียม’ ในขณะที่คนตาดีเสพงานกันอย่างสนุกสนาน ไม่แฟร์เลยที่คนตาบอดเสพงานศิลปะในหอศิลป์ได้น้อยกว่า เราอยากให้ทุกคนรับรู้ถึงความสวยงามของงานศิลปะได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด และหวังว่าอนาคตอันใกล้นี้คนทุกคนไม่ว่าจะมีสภาพร่างกายอย่างไร จะสามารถเข้าถึงงานศิลปะได้อย่างไม่แตกต่างกัน

 

เรื่องโดย ชูก้า