Skip to main content

ถ้านิยามความรักว่าต้องเป็นเรื่องของคนสองคนที่มีอะไรคล้ายกัน ก็แสดงว่าคนพิการต้องคู่กับคนพิการ อย่างงั้นเหรอ ?

เนื่องในวันแห่งความรักปีนี้ ThisAble.me จะพาคุณไปอ่านบทสนทนาของ 5 คู่รัก ที่มีร่างกายแตกต่างกัน เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า ข้อจำกัดและความแตกต่างทางร่างกายไม่ใช่อุปสรรคของความรัก

“เราเจอกันตอนเขาแอดมิทเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลโดยมีเราเป็นเจ้าของเคส เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว โดยปกติคนไข้ลักษณะนี้มักจะรู้สึกเศร้า เสียใจที่ตัวเองมีอาการแบบนี้ แต่เขาไม่แสดงความเศร้าออกมาให้เห็นเลย แต่เป็นคนน่ารัก ตลก ทำให้เรายิ้มได้ทุกวัน จนเรารู้สึกว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา และรู้สึกถูกชะตาด้วย เขาทำให้เราอยากไปทำงาน อยากเจอเขา หลังออกจากโรงพยาบาลเราก็ได้ติดต่อกัน คุยกันจนถึงจุดที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกัน แต่เราเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเพราะตอนนั้นมีแฟนอยู่แล้ว ก่อนจะได้คุยอะไรแฟนเราดันนอกใจไปมีคนอื่นก่อน ทะเลาะกันจนเลิกกันไป เราก็มีเขาอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยทุกวัน หลังจากนั้นก็คุยมาเรื่อยๆ ประมาณ 1 ปี ตอนนั้นสับสนอยู่เหมือนกันว่าเราจะคบกันได้ยังไง เขาก็บอกเราว่าถ้าไม่มั่นใจก็ลองดูก่อนไหม แล้วก็ส่งเพลง “ลอง” ของวง Singular มาให้

“พอคบกันแล้วก็ตัดสินใจบอกที่บ้านเพราะคิดว่าตัวเองโตพอที่จะตัดสินใจเรื่องความรักได้ แต่พวกเขาก็คัดค้าน ไม่อยากให้เราเป็นแฟนกับคนพิการ เราเครียดมากไม่รู้จะทำยังไง จะเอายังไงกันต่อดี เราเข้าใจนะว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวตัวเองคบกับคนพิการหรอก เขาก็ต้องอยากได้คนที่ดูแลลูกสาวเขาได้ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกเสียใจมากกว่าผิดหวังนะว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับ ด้วยอาชีพของเราที่พบเจอกับความเจ็บป่วยหรือความพิการทุกวันจนมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ จะให้เขายอมรับก็ยากพอสมควร คุยกับเขาว่าเราลองจับมือแล้วผ่านมันไปด้วยกันไหม ในอนาคตถ้าที่บ้านเห็นว่าการที่เราคบกันไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ เราก็คบกันมาตลอด 7 ปี แต่เพื่อความสบายใจของครอบครัวเลยบอกเขาว่าเลิกคบกันไปแล้ว

“ถ้าถามว่าเราจะบอกที่บ้านเรื่องคบกันไหม เราไม่คิดจะบอกที่บ้านเลย ในอนาคตถ้าเขาบังเอิญรู้เข้า ก็ค่อยไปแก้ปัญหากันอีกทีตอนนั้นแล้วกัน ตอนนี้เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่ เราก็เต็มที่กับมันดีกว่า”

ฝ้าย (นามสมมติ) นักกายภาพบำบัด

“ตอนนี้อยากให้ลูกได้เจอคนเยอะๆ ทั้งคนพิการ ไม่พิการ ให้เขารู้ว่าคนทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ไม่ได้มีแค่เฉพาะคนไม่พิการ เราแต่งงานมาแล้ว 3 ปี คบกันมาตอนนี้ก็ปีที่ 6 แล้ว พี่ชัย (สามี) พิการตั้งแต่กระดูกอกซี 2-3 มีความรู้สึกแค่ช่วงหัวไหล่จากหน้าอกขึ้นไปข้างบน ข้างล่างขยับไม่ได้เลย กิจวัตรประจำวันก็จ้างผู้ช่วยเหลือ (PA) ดูแล ทำหน้าที่แทนพี่ชัยทุกอย่างทั้งป้อนข้าว อาบน้ำ สวนปัสสาวะ ทำกายภาพ พาขึ้นลงวีลแชร์ ฯลฯ แม้เราจะทำให้ได้ แต่ก็ไม่ใช้ทุกวัน จึงจ้างคนดูแลในวันปกติ

“เราเจอกันในเกมออนไลน์ ก็ทักทายปกติทั่วไป เริ่มคุย เริ่มถามเรื่องส่วนตัวถึงรู้ว่าเขาพิการ แต่เขาก็บอกตรงๆ ไม่ได้หลอก ตอนแรกเราก็อึ้งว่าทำไมถึงมารู้จักคนพิการหนักขนาดนี้ แต่ก็คุยมาเรื่อยๆ เราเห็นเขาเล่าชีวิตในบล็อกเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคม พาคนพิการออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ช่วยคนที่คิดว่าตัวเองไร้ค่าให้ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตแบบเขา พอได้ไปเยี่ยมคนพิการกับพี่ชัย เรารู้สึกยินดีไปด้วยที่เห็นคนพิการคนอื่นสามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ แม้เราชอบเขามาก แต่ตอนแรกที่บ้านไม่ยอมรับ เขาถามเราว่า “จะคบกันเหรอ” แต่พอได้เจอตัวจริงเห็นพี่ชัยเป็นคนยิ้มแย้ม นิสัยดี กลายเป็นว่าฝ่ายเราชอบพี่ชัยกันมาก หากจะมีเรื่องที่ห่วง ก็คงเป็นเรื่องสุขภาพของเขา ยิ่งพอมีลูกก็ยิ่งห่วงมากขึ้นไปด้วย

“ไม่เคยกังวลที่คนพูดว่า ผู้ชายต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว หรือต้องเป็นคนที่แข็งแรงที่สุด เพราะคำว่าหัวหน้าครอบครัวไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่พละกำลังเยอะ แต่คือการเป็นผู้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ เราชอบให้เขาคิดแล้วเราตาม บอกเขาตลอดว่า ยังไงพี่ก็อยู่ให้นานๆ เป็นผู้นำให้เรากับลูก เราอยากมีเขาเป็นหลักและดูแลกันและกันไปตลอด”

ปิยรัตน์ ภู่จรัส พนักงานบริษัท

“เราเป็นอาสาสมัครช่วยคนพิการที่งานวันคนพิการตอนปี 50 พี่โอ(แฟน) ก็ไปกับองค์กรเขา เราเลยอาสาช่วยงานองค์กรเขา กว่าจะได้ช่วยก็พูดคุยทำความรู้จัก ปรับแนวคิด ทัศนคติในการร่วมงานกันนานเป็นเดือนๆ นานจนมีเวลารู้จักชอบพอกัน เลยตัดสินใจคบกัน

“เขาพิการ 10 กว่าปีก่อนรู้จักกับเราจากอุบัติเหตุรถยนต์ เลยไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ราวนมไปถึงปลายเท้า ถึงอย่างงั้นเขาก็ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่างตั้งแต่อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ทำกับข้าว ขับรถ ฯลฯ แถมยังชอบช่วยเหลือเพื่อนคนพิการ ช่วยเหลือสังคม เอาคนพิการที่ติดบ้าน ติดเตียง ออกมาใช้ชีวิตในสังคม เขาเป็นคนใจร้อนที่จิตใจดี ภายนอกดูเหมือนดุ คนใกล้ชิดจะรู้ว่าเขาเป็นคนขี้เล่น มีมุ้งมิ้งกับเราบ้างแต่ไม่มีใครเคยเห็น เราประทับใจที่เขาแคะหูให้(หัวเราะ) เขาน่าจะจำไม่ได้หรอก ช่วงนั้นคบกันได้ประมาณ 6 เดือนแล้วเลิกกันไปปีนึง เวลาปีนึงทำให้เราคิดถึงเวลาเก่าๆ พยายามหาเหตุผลที่เราชอบเขาไปทั่ว จนคิดได้ว่า นอกจากแม่ก็มีเขานี่แหละที่แคะหูให้ ถ้าจะมีใครรักเราได้แบบนี้อีก ก็คงเป็นเขา หลังจากนั้นก็กลับมาคบกันใหม่

“ตอนปี 53 พาเขาไปหาพ่อกับแม่ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มกลับมาคบกัน เราเองยังไม่วางใจหรือเชื่อใจเต็มร้อย เลยบอกพ่อแม่ว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันได้จริงๆ อีก 5 ปีเราจะเริ่มเตรียมตัวเรื่องแต่งงาน แม่คอยถามตลอดหลังจากวันนั้นว่า “แล้วนี่ก็ปีแล้วอ่ะ 5 ปียัง?” (หัวเราะ) จนตอนนี้ก็ยังไม่แต่ง ตอนคบกันปีแรกก็พาเขาไปบ้านที่โคราช พอปีที่ 2 ก็พาไปอีก ต่างไปคืออะไรที่เคยไม่สะดวกสำหรับเขา ก็ปรับให้ใช้วีลแชร์เข้าได้สะดวกหมดแล้ว ถ้าถามว่าทำไมอยากใช้ชีวิตร่วมกับคนคนนี้ ก็คงเป็นความรักในตัวเขา ในความเป็นเขา ที่ผ่านมา ต่างคนต่างปรับกันเยอะ มีเรื่องที่เราไม่แฮปปี้ในกันและกัน และใช้เวลานานมากในการที่จะยอมรับมันให้ได้

“ไม่นานนี้ เพิ่งถามตัวเองว่าถ้าไม่มีเขาชีวิตจะเปลี่ยนไปยังไง เราก็คงอยู่ในแวดวงคนพิการเหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้มีเพื่อนเป็นคนพิการเยอะกว่าไม่พิการอยู่แล้วจากการทำงานร่วมกับเขา เราคงอยู่พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการกันต่อไป”

กัญณิษา  กรกิ่ง

 

“เรารู้จักกันที่ค่ายคนพิการ ตอนแรกรู้สึกเขาพูดมากเพราะเราเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบคุย ไม่ชอบเข้าสังคม เวลาไปทำกิจกรรมหรือไปค่ายเลยไม่ค่อยมีเพื่อน ช่วงแรกที่คุยกันก็รู้สึกแปลกๆ เพราะเขาจะชวนคุยโน่น คุยนี่อยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ขี้เล่น ร่าเริง เฮฮา คุยสนุก เป็นมิตรและเป็นกันเองกันคนอื่น เราประทับใจในตัวเขาเพราะความเสมอต้นเสมอปลาย หลังจบค่ายเราก็ยังคุยกันอยู่ แต่ไม่ได้คุยในลักษณะจีบ หรือรุกเร้าเราขนาดนั้น แต่เขาคุยเรื่องงาน ชวนไปทำกิจกรรม งานอาสา หรือไปประชุมเรื่องคนพิการ เราก็ไป ช่วงหลังๆ ได้คุยกันมากขึ้น ได้ทำค่าย ทำกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวกับคนพิการ ก็เปิดมุมมองเรา ทั้งแนวคิดต่อโลก ต่อประเด็น ต่อมุมมองของคนพิการ เราได้เห็นโลกของเขา มุมที่เขาทำงาน ก็เหมือนรับรู้ความคิดต่างๆ เข้ามาโดยอัตโนมัติ

“เขาเป็นคนมีไอเดียดี อยากสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม และรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง อย่างเรามักมองโลกในมิติของสังคมทั่วไป ที่โทษนั่นโทษนี่ แต่เขาก็รับฟัง และทำความเข้าใจ เรื่องต่างๆ ที่เราไม่สามารถพูดหรือพิมพ์ลงโซเชียล ก็คุยกับเขาได้ทุกอย่าง ก็เลยรู้สึกดี

“เราไม่ได้วางแผนอะไรจริงจังขนาดนั้นเรื่องอนาคต ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ ที่คุยกันไว้ล่าสุดคืออยากเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ย้อนกลับไปถ้าตอนนี้ไม่มีเขาเราก็คงเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่คุยไม่สุงสิงกับใคร เขาทำให้เรารู้จักชีวิตอีกด้านหนึ่งที่มีมุมมองอีกแบบต่างจากเรา ก่อนหน้านี้เวลาไปไหน เราไม่เคยนึกถึงเรื่องคนพิการเลย ไปเที่ยวก็ไม่มานั่งสนใจหรอกว่าที่พักจะเป็นยังไง แต่พอคบกันแม้แต่ไปเที่ยว ก็ต้องหาแล้วว่า ที่พักเป็นยังไง มีที่จอดรถคนพิการไหม ห้องน้ำล่ะเข้าได้หรือเปล่า เขาจะย้ายตัวเองจากวีลแชร์ไปที่เตียงได้หรือไม่ ความคิดของเรามันเปลี่ยนไปมาก”

 

ศิธรา จุฑารัตน์

“ครั้งแรกที่คุยแชทกันผ่านเพจทอมดี้ เราอ่านประโยคของเขาไม่เข้าใจ คำเขียนสลับกันไปสลับกันมา ก็เลยถามไปว่า เธอปกติใช่ไหม? เขาตอบว่าเขาหูหนวกแต่อ่านออกเขียนได้ ตอนนั้นตกใจมาก แต่เพราะเขานิสัยดี สุภาพและเราก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะพูดได้หรือไม่ได้อยู่แล้ว คนที่คุยด้วยแล้วเข้าใจกันดีต่างหากคือคนที่เราตามหาก็เลยสบายใจที่จะไปต่อกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ จากแค่คุยแชทก็เริ่มวีดิโอคอลหากัน ช่วงที่คุยกันใหม่ๆ เราได้แต่ส่งยิ้มให้ เพราะไม่รู้จักภาษามือซักคำเลย ทุกครั้งที่เราคุยกัน เขาค่อยๆ สอนภาษามือให้วันละนิด ด้วยการทำท่าทางภาษามือ แล้วอธิบายเป็นตัวอักษรผ่านช่องแชทว่า ท่ามือนี้หมายถึงอะไร วันไหนว่างๆ เราก็นัดเจอกัน ความสัมพันธ์และความรู้เรื่องภาษามือของเราก็พัฒนาคู่กันไป จนในที่สุดก็ตกลงคบเป็นแฟนกัน

“เขาอยากเป็นเป็นนักละครใบ้และเป็นคนมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้กับเรื่องที่ตัวเองตั้งใจไว้ แม้เราบอกเขาว่า เธอเลิกดีไหม งานในวงการไม่ได้มีตลอด แต่เขาไม่เคยท้อ และไม่เคยบ่นที่ตัวเองแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ทำอะไรได้อย่างคนทั่วไป และย้ำนักหนาว่าไม่ชอบให้เราสงสาร ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานธรรมดา ทำงานกลับบ้านแล้วนอน ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่แฟนคนนี้ทำให้รู้จักหาความรู้ให้ตัวเอง เหมือนที่เขาทำให้เห็นอยู่ทุกวัน

“แม้เราคบทอมมาตลอด แต่ครอบครัวโดยเฉพาะพ่อไม่เคยชอบแฟนคนก่อนๆ ของเราเลย แต่กลับชอบเขาทั้งที่เป็นทอมและหูหนวก อาจเพราะเขาชอบดูแลเทคแคร์เรา รวมถึงครอบครัวของเราด้วย ไม่ได้มีอะไรห่วงเขาพิเศษ เพราะเขาไปไหนมาไหนได้ อาจจะติดแค่เรื่องการสื่อสารกับคนรอบข้าง ซึ่งก็ต้องอาศัยการช่วยเหลือกันไป ตอนนี้เราสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่ออนาคต ถ้าวันข้างหน้าพร้อมเราก็จะแต่งงานกัน”

ทิพย์สุดา สายสะอาด