Skip to main content

ความสุขและความแปลกใหม่ที่คนมองไม่เห็นได้รับจากการท่องเที่ยว เหมือนกับการ เติมไฟให้ชีวิตเป็นความสุขรูปแบบหนึ่งที่ไม่ว่าคนพิการ หรือคนไม่พิการก็ปรารถนาจะได้สัมผัสเช่นกัน

ฉันเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ‘ชีวิตคือการเดินทาง’ เพราะในทุกการเดินทางเทียบเท่าได้กับการเติมเต็มชีวิต การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้นักเดินทางทุกคนได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจโลกกว้างที่เต็มไปด้วยความแตกต่างใบนี้มากขึ้น แต่จะเป็นยังไงกันนะ ถ้าคน ‘ตาบอด’ กลุ่มหนึ่งผันตัวมาเป็นนักเดินทาง ‘มือใหม่’ ตัดสินใจออกท่องโลกกว้าง ทั้งที่ตามองไม่เห็น มาดูกันดีกว่าว่า นักเดินทางในความมืดอย่างพวกเราจะไปเที่ยวกันยังไง จะไปปักหมุดเช็คอิน แชะภาพแนวๆ กันที่ไหน และที่สำคัญคุณจะได้พบคำตอบของคำถามที่ค้างคาใจของทุกคนที่ว่า ‘ในเมื่อมองไม่เห็น จะออกไปท่องเที่ยวกันทำไม?”

เพราะชีวิตคือการเดินทาง (แม้จะมองเห็นรางๆ ก็ตามที)

ต้นปี 2560 ช่วงอากาศกำลังดีเหมาะจะออกเดินทางท่องเที่ยว ฉันและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตัดสินใจกันว่า เอาล่ะ...ได้เวลาออกไปท่องโลกกว้างกันแล้ว  การเดินทางทริปนี้ของพวกเรามีหมุดหมายคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ และวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ งานนี้พวกเราตั้งใจปักหมุด 3 เมืองหลักด้วยกัน เริ่มต้นที่หลวงพระบาง ลงมายังวังเวียง และสิ้นสุดที่นครหลวงเวียงจันทน์ ใช้เวลาทั้งหมด 7 วัน 6 คืน โดยมีสมาชิกแก๊งค์ ‘We fly together’ ร่วมเดินทางทั้งหมด 6 ชีวิต เป็นคนตาบอดและตาเลือนราง 5 คน และพี่สาวตาดีที่อีก 1 คน นอกจากนี้ยังมี ‘คำแก้ว’ เจ้าบ้านชาวลาวคอยเป็นเจ้าภาพ คำแก้วเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐชาวลาวที่มาเรียนต่อปริญญาโทในไทย เพื่อนำความรู้และแนวทางต่างๆ ไปใช้ในการพัฒนาแวดวงคนพิการทางสายตาของประเทศลาว โดยตัวคำแก้วเองก็เป็นคนพิการสายตาเลือนรางเช่นกัน  

เนื่องจากพวกเราจัดทริปกันเอง ดังนั้น เราจึงวางแผนการเดินทางไปในทุกที่ๆ เราอยากไป ไปทำกิจกรรมทุกอย่างตามใจอยากทำ ถึงจะบอกว่าการท่องเที่ยวเป็นเรื่องสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่พวกเราก็วางแผนการเดินทางกันรัดกุมพอสมควร เพราะถึงจะกล้าอย่างไร ก็ไม่ควรกล้าออกเดินทางโดยไม่เตรียมพร้อมใดๆ เลย ยิ่งสมาชิกส่วนใหญ่ของทริปนี้เป็น ‘นักเดินทางที่มองไม่เห็น’ ด้วยแล้ว จะเที่ยวให้สนุกได้ก็ต้องเตรียมการให้ดีกันตั้งแต่เริ่มต้น

“ใช้เวลาเตรียมตัวกันพอสมควรเหมือนกันนะ วางแผนกันว่าจะไปช่วงเดือนไหน เราก็หาตั๋วเครื่องบินในราคาที่พวกเราสามารถจ่ายได้” ปร วรากุล คุณแม่ยังสาว ผู้ชื่นชอบการเรียนนวดเป็นชีวิตจิตใจกล่าว

ปรเป็นคนพิการทางการมองเห็นเนื่องจากอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม หลังจากอำลาแวดวงการเงินและการธนาคารมาแล้ว คุณแม่ที่น่ารักคนนี้ก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่มองไม่เห็นและรักที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

นอกจากนี้ พี่สาวเสียงหวาน เจ้าของแปลงคะน้าเมืองกาญจน์ ผู้รักการเดินทางและกลายมาเป็นไกด์นำทางกิตติมศักดิ์ของพวกเราในทริปนี้อย่าง บุ๋ม ณัฐฐศศิ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสมาก ทุกอย่างก็สถานการณ์พาไปค่ะ อย่าไปคิดเยอะ เราคิดจะไปเราก็ไปเลยค่ะ ก็มีข้อมูลบ้างนิดหน่อย รู้ว่าอากาศเป็นยังไง เตรียมตัวแบบไหนไป อาหารเป็นแบบไหน เราทานได้ไหม ถ้าเราไม่ได้เป็นคนกินอะไรยากก็โอเคกินอาหารท้องถิ่น ก็ได้รู้รสชาติอีกรูปแบบหนึ่งจะได้รู้จักการปรับตัวด้วย”

ตอนนี้ใกล้ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม ครีมกันแดด ลูกอม ทิชชูเปียก แบตฯ สำรอง จัดของลงเป้ แล้วไปกันเลย !

 

หลวงพระบาง...เมืองที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังแห่งวัฒนธรรม

เมื่อเครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินหลวงพระบาง เวลาบ่ายแก่ๆ คำแก้วยืนรอรับพวกเราอยู่หน้าเกทผู้โดยสารขาเข้าพาเราขึ้นรถสองแถวไปยังที่พัก  ที่หลวงพระบางพวกเราพักเกสเฮ้าส์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวหลัก บุ๋มและคำแก้วที่ถึงจะสายตาเลือนรางแต่ก็นับว่า มองเห็นมากที่สุดในบรรดาคนสายตาไม่ดีในทริปนี้ ช่วยกันอธิบายสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในห้องพักแต่ละคน พาหัดเดินจากประตูทางเข้าห้อง ไปที่เตียงนอน ไปที่ห้องน้ำ อธิบายเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องน้ำว่าอะไรอยู่ตรงไหน บอกตำแหน่งสวิตช์ไฟ ปลั๊กไฟ รีโมทแอร์ รวมถึงสิ่งต่างๆ ภายในห้อง เพื่อให้เราสามารถทำกิจวัตรประจำวันของพวกเราได้เองอย่างเป็นปกติ

หลังจากค่ำคืนแรกที่หลวงพระบางผ่านพ้นไป เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นกันแต่เช้าตรู่ หวังใจว่า ต้องทำกิจกรรมแรกของวัน ซึ่งเป็นไคลแมกซ์ของการมาเยือนหลวงพระบางให้ได้ พวกเราทั้ง 6 คนออกจากเกสเฮ้าส์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี ออกเดินไปยังหัวถนน และนั่งรอใส่บาตรพระสงฆ์กัน

ใช่แล้ว...การตักบาตรข้าวเหนียวเป็นกิจกรรมที่เปรียบเหมือนเอกลักษณ์อันงดงามของเมืองหลวงพระบาง พวกเรามีกระติบข้าวเหนียวที่ซื้อมาจากร้านข้างทางกันคนละใบ ภายในบรรจุข้าวเหนียวควันกรุ่น สงสัยกันใช่ไหมว่าพวกเราใส่ข้าวลงตรงกับบาตรพระได้อย่างไร ก็ด้วยความช่วยเหลือจากไกด์นำทางและเจ้าบ้านของเรานี่เองที่คอยบอกให้เราหย่อนข้าวให้ตรงกับจังหวะการรับบาตรของพระสงฆ์

หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้าริมแม่น้ำ และมุ่งหน้าไปยังพระราชวังหลวงพระบางที่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ชาติลาวไว้ พวกเราค่อยๆ เดินเท้ากันไปเรื่อย ไม่เร่งร้อน ฉันสังเกตว่าทางเดินที่หลวงพระบางนั้นเดินง่าย เป็นทางเรียบเสมอกัน ไม่มีสิ่งกีดขวางบนทางเดิน และไม่มีกระเบื้องทางเท้าที่หลุดชำรุดจนน่ากลัว พวกเราเลยพอจะเดินกันไปได้อย่างสบายๆ อันที่จริงแล้วก็ไม่เพียงแค่ในหลวงพระบาง แต่จะสังเกตได้ว่าในทุกเมืองที่เราไปนั้น ทางเดินของบ้านนี้เมืองนี้ค่อนข้างสะดวกต่อการเข้าถึงสำหรับคนพิการทางการเห็นที่ต้องการใช้ไม้เท้าขาวร่วมด้วย

“พื้นที่เข้าถึงได้มาก เพราะมีความปลอดภัย ทางโอเค เรียบ ไม่มีสเต็ปเยอะ ทางไม่อันตราย แล้วก็มีคนพาเดินด้วยไง ไม่มีของขวางทาง” สาวสายตาเลือนรางอารมณ์ดี ผู้รักการเดินทางและการค้าขายจนมีกิจการออนไลน์เล็กๆ เป็นของตัวเองอย่างแมวกล่าว

ในพิพิธภัณฑ์ฯ บุ๋มพาเราเดินชมภายในโดยเป็นคนอธิบายสิ่งของและบรรยากาศภายในห้องต่างๆ รวมถึงสีสันของสิ่งของที่จัดแสดงอยู่ คำแก้วเองก็คอยช่วยอ่านคำบรรยายในบางจุดที่เป็นภาษาลาว เสียงฝีเท้าที่ก้าวย่างกระทบลงบนพื้นไม้กระดานของพวกเราส่งเสียงลั่นเบาๆ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่และเข้มขลังของสถานที่แห่งนี้ได้ด้วยประสบการณ์ตรงของเราเอง

พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง
หน้าพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง

ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ฯ มากนักคือวัดเชียงทอง สถานีต่อไปที่เราจะมาปักหมุดกัน ที่นี่นักท่องเที่ยวนิยมกันพอดู รับรู้ได้จากบรรยากาศที่รู้สึกได้ว่า มีผู้คนขวักไขว่ พวกเราเข้าไปไหว้พระ และเดินรอบๆ สถานที่ ในมุมภาพที่คนสายตาเลือนรางอย่างฉันสามารถมองเห็นได้เล็กน้อยนั้น สีทองมลังมเลืองของศาสนสถานที่ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าในวันนั้น เป็นภาพจำที่ประทับใจมาก ถึงจะไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ทั้งหมด แต่แค่เท่าที่เห็นนี้ก็ทำให้คนชอบงานศิลป์ทุกประเภทอย่างฉันอิ่มใจมากเลยทีเดียว

วัดเชียงทอง
วัดเชียงทอง

บ่ายวันเดียวกัน พวกเรามุ่งหน้าไปยังน้ำตกตาดกวางสี น้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศลาว เพียงแค่เข้าไปใกล้บริเวณน้ำตกเท่านั้น พวกเราก็รับรู้ได้ถึงเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาแต่ไกล เสียงนักท่องเที่ยวที่หัวเราะเริงร่ากับบรรยากาศของสถานที่ดูสนุกสนานน่ามาปิคนิค พวกเราพากันมุ่งหน้าไปตามเสียงนั้น บุ๋มบอกให้พวกเราลองถอดรองเท้าเดิน จะได้สัมผัสพื้นดินริมน้ำตกโดยตรง เมื่อฉันถอดรองเท้าถือไว้ในมือ ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยก็ได้สัมผัสกับดินริมน้ำตกที่เรียบ นุ่ม และแน่นจากการควบรวมกันระหว่างดินกับละอองน้ำเป็นเวลานาน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน น้ำตกตาดกวางสีอาจจะไม่ใช่น้ำตกที่สูงมาก แต่เป็นน้ำตกที่ใสมาก เวลาไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ริมธารแล้วรู้สึกได้เลยว่า ที่นี่อากาศดี เย็น ชุ่มฉ่ำ รู้สึกได้ถึงโอโซนในบริเวณนั้นที่คาดการณ์ได้ว่าต้องมีมากมายอย่างแน่นอน

น้ำใสขนาดนี้มีหรือเพื่อนเราจะอดใจไหว คำแก้วและอาร์มไม่รอช้ารีบเปลี่ยนชุด กระโดดลงเล่นน้ำในลำธารของน้ำตกอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย  สำหรับคำแก้วไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เพราะคำแก้วค่อนข้างมองเห็นเยอะ แต่อาร์มเห็นแค่แสงเท่านั้น แต่เพราะมีบุ๋มคอยดูแลอยู่  พวกเราเลยพลอยได้ลุ้นอาร์มกระโดดน้ำอยู่ริมฝั่งอย่างสนุกสนานไปตามๆ กัน

น้ำตกดาดกวางสี
น้้ำตกตาดกวางสี

อาร์มเล่าว่า ตัวเองเคยกระโดดน้ำที่อื่นแล้วครั้งหนึ่ง แต่เตี้ยกว่าน้ำตกที่นี่ ประกอบกับอาร์มสวมชูชีพ และรับรู้ว่าคนอื่นๆ ที่มาเที่ยวน้ำตกตาดกวางสีก็กระโดดน้ำเล่นกัน อาร์มจึงมองว่าไม่น่าจะเป็นอันตรายจนเกินไปนัก

“มันเป็นธรรมชาติมาก น้ำเย็นจับใจ เย็นกว่าน้ำในตู้เย็นเสียอีก แล้วเราก็รู้สึกว่า เราได้สัมผัสกับผืนน้ำ ผืนดิน ผืนหินที่รายล้อมรอบตัวเราอย่างใกล้ชิด และเราก็รู้สึกว่า เรามีความสุขมาก” อาร์มกล่าว

อาร์มเป็นนักศึกษาพิการทางการเห็นที่กำลังทำวิทยานิพนธ์สำหรับปริญญาโทที่เขาเลือกเรียนอยู่อย่างขะมักเขม้น ถึงปัจจุบันอาร์มจะมองเห็นแค่แสงเท่านั้น แต่อาร์มเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้าน และชอบยิงมุขใส่เพื่อนเวลาเผลออีกด้วย

สถานที่สุดท้ายก่อนจะโบกมือลาหลวงพระบางในทริปนี้คือ พระธาตุภูสี สถานที่แห่งนี้เป็นพระธาตุที่อยู่สูง ต้องเดินขึ้นบันไดไป เพราะเป็นศาสนสถาน ด้านบนองค์พระธาตุจึงค่อนข้างเงียบ บุ๋มบอกว่า มีนักท่องเที่ยวพอสมควร แต่ทุกคนเงียบเสียง เราจึงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ซึ่งสำหรับพวกเราที่มองไม่เห็นและสื่อสารกันด้วยเสียงเป็นหลัก จำเป็นที่จะต้องระวังการใช้เสียงที่ไม่ให้ดูเหมือนเป็นการไม่เคารพสถานที่ และไม่ให้ไปดังจนรบกวนผู้อื่นด้วย

ตอนขาลงนั้นไม่ค่อยมีปัญหา เพราะพวกเราลงบันไดฝั่งใกล้พิพิธภัณฑ์ฯ ขั้นบันไดและเส้นทางค่อนข้างดีมาก แต่ในขาขึ้น พวกเรามาขึ้นฝั่งที่คนไม่ค่อยมากนะ แต่ก็เดินยากพอสมควร เพราะเป็นที่สูง และมีบางจุดที่ชำรุด เวลาเดินจึงต้องค่อยๆ พากันเดินขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง นอกจากบุ๋มที่คอยบอกทางและดูความปลอดภัยให้พวกเราแล้ว ระหว่างทางยังเจอนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาว และชาวต่างชาติที่คอยช่วยบอกทาง นำทางให้พวกเราเป็นระยะ น้ำใจของผู้คนที่พวกเราได้รับระหว่างการเดินทางนั้น เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนประทับใจมาก ถึงจะเล็กน้อยและพบกันในระยะเวลาอันสั้น แต่ฉันและเพื่อนร่วมทริปทุกคนรู้สึกขอบคุณมาก และรับรู้ได้ถึงพลังงานดีๆ ที่ส่งให้ระหว่างนักเดินทางคนอื่นๆ กับนักเดินทางที่มองไม่เห็นอย่างพวกเรา

 

วังเวียง...เมืองแห่งธรรมชาติ ป่า เขา และการผจญภัย

เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวกันที่วังเวียง เมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ได้ใจพวกเราไปเต็มๆ ด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ และความสมบูรณ์ของเมือง วังเวียงจึงเป็นเมืองที่พวกเราลงความเห็นกันว่า อยากกลับไปมากที่สุด

เช้าวันแรกที่วังเวียง พวกเราออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังถ้ำจัง แดดอ่อนยามเช้าบวกกับสนามหญ้าสีเขียว ทำให้คนสายตาเลือนรางอย่างฉันและเพื่อนไม่แพ้แสงแดด แถมยังแวะแชะรูปตรงสนามหญ้ากันอยู่นานสองนาน การถ่ายรูปเป็นสิ่งที่ฉันชอบมาก ทั้งเป็นคนถ่ายเองและเป็นคนถูกถ่าย อีกคนหนึ่งที่ชอบเหมือนกันกับฉันคือปร ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องขอให้บุ๋มหรือคำแก้วมากดชัตเตอร์เก็บภาพให้พวกเราทุกครั้งไป ถ้าถามว่า มองไม่เห็นแล้วจะถ่ายรูปไปทำไม สำหรับฉันที่เป็นคนสายตาเลือนรางและยังพอมองเห็นอยู่บ้างนั้น ฉันคิดว่ามันคือการบันทึกความทรงจำรูปแบบหนึ่ง ที่ถึงฉันจะมองไม่เห็นทั้งหมด แต่คนรอบข้างและคนที่ฉันรักทุกคนสามารถมองเห็นความสุขและความสดใสของฉันได้ ทั้งที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ไปร่วมทริปด้วย

แก๊งค์เราค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปยังตัวถ้ำจังที่อยู่ด้านบน การเดินบันไดขึ้นที่สูงขนาดนี้เป็นการเดินที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก พวกเราใช้มือจับราวในที่ๆ มีราวบันได และค่อยๆ ใช้ไม้เท้าเทียบขั้นบันไดเดินขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีบุ๋ม พี่สาวนำทางตาดีคอยสังเกตและนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นไปพร้อมๆ กับเราก็ช่วยบอกเป็นระยะ

ภายในถ้ำจังค่อนข้างมืด มีไฟให้ความสว่างเป็นระยะตามทางเดิน ถ้ำจังให้ความรู้สึกเย็นและน่าค้นหา เหมือนกำลังเดินเข้าไปในห้องแห่งความลับในเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ยังไงยังงั้นเลยล่ะ ที่นี่เราสัมผัสได้ถึงธรรมชาติที่เป็นหินผา ความกว้างหรือแคบของถ้ำ และยังออกไปชมวิวบ้างเล็กน้อยตรงจุดที่ยื่นออกไปนอกถ้ำจังด้วย

ภายในถ้ำจัง
ภายในถ้ำจัง

บรรยากาศจากด้านบนถ้ำจัง
บรรยากาศนอกถ้ำจัง

 

กิจกรรมแอดเวนเจอร์จริงๆ ยังเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น ช่วงบ่ายพวกเราซื้อแพ็คเกจไปเล่นน้ำที่บลูลากูลและล่องเรือแม่น้ำซองจากบริษัททัวร์แถวนั้น ซึ่งมีเสื้อชูชีพและเรือคายัคลำขนาดสามคนนั่ง ที่บลูลากูลอาร์มกับคำแก้วก็กระโดดลงเล่นน้ำอย่างเคย โดยมีบุ๋มลงเล่นด้วย ส่วนปร แมว และฉันที่ไม่อยากเปียกก็นั่งกินลมชมวิวเสพย์บรรยากาศสนุกสนานรอบข้างกันไป

แต่ไคลแมกซ์ที่สุดของวันนี้คือ การพายเรือล่องแม่น้ำซอง...แม่น้ำประจำเมืองวังเวียง แค่ฟังก็น่าตื่นเต้นแล้ว สำหรับคนที่มองไม่เห็นอย่างพวกเรา การได้พายเรือคายัคเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในแม่น้ำจริงๆ เป็นกิจกรรมที่ตื่นเต้นมาก หลังจากสวมเสื้อชูชีพและฝึกพายเรือบนบกกันนิดหน่อยแล้ว พวกเราแบ่งกันเป็นคู่ 3 คู่ แมวกับฉันและบุ๋มกับปรนั้นจะมีคนเรือคอยเป็นหลักช่วยพายให้ ส่วนอาร์มกับคำแก้วนั้นไม่ต้องห่วง เพราะคำแก้วมีทักษะการพายเรือ สองคนนี้จึงลุยกันเองได้อย่างไม่มีปัญหา

“ความจริงมีความฝันว่าอยากเล่นแคนนู แล้วก็ได้ทำไงครับคือเราได้สัมผัสได้อะไรเอง โดยที่เราไม่ต้องให้คนอื่นอธิบายให้เราฟัง เราได้รู้เองเยอะ“ อาร์มกล่าว

เพื่อนร่วมทริปทุกคนและฉันสนุกกับกิจกรรมนี้มาก ไม่เคยคิดเลยว่า คนที่มองไม่เห็นอย่างเราจะได้มาสัมผัสกับกิจกรรมกลางแจ้งที่สุดแสนท้าทายอย่างนี้ คงไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่มีความสุขสนุกสนาน ฉันได้ยินเสียงหัวเราะ พูดคุยหลากหลายภาษาของนักท่องเที่ยวรอบข้างที่มาล่องแม่น้ำซองในเวลานั้นดังระงมไปทั่วลำน้ำ

แมวที่นั่งอยู่หัวเรือส่งไม้พายให้ฉันลองพายดูบ้าง พอจับไม้พายแล้วจ้วงลงไปในน้ำ รู้สึกได้เลยว่า แรงน้ำที่มากระทบไม้พายนั้นเยอะและแรงมาก ฉันลองจ้วงสลับซ้ายขวาอยู่ไม่นานก็ต้องขอยอมแพ้ เพราะดูเหมือนว่าฉันจะพายเอาน้ำเข้ามาในลำเรือจนทั้งแมว ฉัน และฝีพายเปียกม่อล่อกม่อแลกกันไปหมด ไอ้ที่ว่าไม่อยากเปียกตอนอยู่ที่บลูลากูลนั้นลืมไปได้เลย เพราะตอนนี้น้ำกระเด็นกระดอนใส่ฉันและเพื่อนจนเปียกไปหมดแล้ว รู้อย่างนี้ ลงเล่นน้ำเสียตั้งแต่บลูลากูลเลยก็คงดี จะได้คุ้มค่าการเปียกหน่อย เราตัดสินใจว่า ยกหน้าที่การพายเรือให้เป็นของมืออาชีพดีกว่า และพวกเราก็วักน้ำเล่นกันไป สูดอากาศกันไป ความสนุกอีกอย่างของการล่องเรือที่นี่คือ ต้องระวังเรือคว่ำจากการแหวกน้ำของเรือยนต์ที่แล่นมา ทำให้พวกเราต้องคอยทรงตัวและจับเรือกันไว้แน่นๆ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะของความสนุกและลุ้นระทึกในเวลาเดียวกัน

กิจกรรมพายเรือ

 

เวียงจันทร์...นครหลวงแห่งเมืองลาว

และแล้วพวกเราก็ได้มาถึงนครหลวงเวียงจันทน์ เราตัดสินใจเข้าพักที่เกสเฮ้าส์สำหรับ back packer คือเป็นห้องพักที่พักรวมกัน 8 คน และนักท่องเที่ยวทุกคนต้องใช้ห้องน้ำรวมซึ่งอยู่ชั้นล่างของที่พัก พวกเรา 6 ชีวิตครองห้องพักห้องหนึ่งจนเกือบเต็ม มีนักท่องเที่ยวชาวซูดารเป็นเพื่อนร่วมห้องอีกหนึ่งคน  ที่เวียงจันทน์มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศลาวคือ วัดพระแก้ว วัดสีสะเกด และวัดศรีเมือง ที่วัดหลวงอย่างวัดพระแก้ว สาวๆ ได้นุ่งซิ่นเข้าชมและสักการะศาสนสถานกันด้วย เรียกได้ว่าเตรียมเครื่องแต่งกายกันมาจากเมืองไทยเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ด้วยความที่เป็นเมืองหลวง ที่เวียงจันทน์จึงมีทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวหนาตากว่าเมืองอื่น การจราจรบนท้องถนนเริ่มคับคั่งขึ้นมาบ้าง แต่ยังนับว่าดีกว่ามากนัก หากจะเทียบกับเมืองที่รถติดแสนติดอย่างกรุงเทพมหานคร ฉันสังเกตว่า ทางเดินหรือฟุตบาทของเวียงจันทน์นั้นมีการจัดระเบียบค่อนข้างดี ทำให้คนสัญจรได้ง่ายและสะดวก เป้าประสงค์หลักอาจจะเป็นเพราะต้องการทำให้เมืองสะอาดตา แต่ก็พลอยทำให้ “Blind Back packer” อย่างพวกเราเดินได้ง่าย ไม่ต้องคอยหลบสิ่งกีดขวางมากนัก

นักเดินทางสมัครเล่นทั้งหกชีวิตเข้าสักการะพระแก้วจำลองภายในวัดพระแก้ว ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปอีกนิดเพื่อชมวัดสีสะเกดและดูพร้อมรับฟังคำบรรยายเกี่ยวกับวัตถุโบราณที่ทางวัดนำมาตั้งโชว์ให้ผู้มาเยือนได้รับชม สำหรับวัดศรีเมืองนั้น ขึ้นชื่อเรื่องโชคลาภและการทำนาย มีการยกพระที่ให้เราตั้งจิตอธิษฐานก่อน แล้วให้เรายกองค์พระที่มีขนาดประมาณพระพุทธรูปขึ้น เพื่อทำนายทายทักว่า สิ่งที่เราตั้งจิตอธิษฐานนั้นจะประสบความสำเร็จไหม มาถึงที่แล้ว ก็ต้องขอลองกันสักหน่อย ทั้งฉันและเพื่อนต่อคิวเรียงแถวรอยกพระร่วมกับคนอื่นๆ องค์พระที่เรายกนั้นคาดว่าน่าจะทำมาจากหิน เพราะหนักมาก ย้ำว่ามาก มากจริงๆ ต้องยกให้ท่วมศีรษะตามคำอธิษฐานด้วยจึงจะถือว่าดี ฉันว่า หัวใจหลักในการยกพระของพวกเราไม่ใช่การที่คำอธิษฐานจะเป็นจริงหรือไม่หรอก ทว่ามันคือการที่เราได้ลองยกพระอย่างคนอื่นๆ เขาต่างหาก ยกพระคราวนี้เล่นเอาพวกเรากล้ามขึ้นเพราะความหนักขององค์พระกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้เรายังได้เดินดู เดินชม บรรยากาศของเมืองหลวงเวียงจันทน์ในอีกหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นประตูซัยหรือประตูชัย ซึ่งได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากสถาปัตยกรรมของประตูชัย เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส  คำแก้วพาพวกเราไปเดินดูห้างร้านของเมืองเวียงจันทน์อย่าง ไฮเต็กและห้างอื่นๆ ของลาวด้วย และยังพาเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการไปเดินตลาดเช้าระหว่างรอรถที่จะข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเพื่อกลับไทย

ตบท้ายอีกหน่อยด้วยการไปเยี่ยมโรงเรียนสอนคนตาบอดนครหลวงเวียงจันทน์ ที่ทำงานของคำแก้วเพื่อนของพวกเรา ที่นี่มีเด็กตาบอดประมาณเกือบ 60 คน ยังนับว่าน้อยนักที่เด็กตาบอดที่ลาวจะได้รับโอกาสและการเข้าถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต จากการที่ได้พูดคุยกับอาจารย์และเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆ ฉันมองว่า ประเทศลาวเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการทางการเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นขั้นตอนที่ทางภาครัฐและผู้มีส่วนรับผิดชอบกำลังร่วมแรงแข็งขันกันอย่างเต็มกำลัง

 

ถ้ามองไม่เห็น แล้วจะเป็น นักเดินทางได้อย่างไร

จบทริปเที่ยวลาว 7 วัน 6 คืนอย่างงดงาม อันที่จริงแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่เราไม่ได้บรรยายไว้ เช่น วัดต่างๆ ในหลวงพระบาง ทุ่งทานตะเวนที่วังเวียง พระธาตุหลวงที่เวียงจันทน์ ฯลฯ ทุกคนสนุกสนานมาก ความทรงจำขณะการเดินทางและความสุขต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างทางยังถูกพวกเราหยิบยกขึ้นมาพูดถึงพร้อมรอยยิ้มอยู่เสมอ จริงๆ นะคุณต้องลองออกเดินทาง ถ้าคุณมีทีมที่ดี มีที่ท่องเที่ยวที่ถูกใจ การท่องเที่ยวแสนวิเศษในครั้งนั้นจะไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของคุณเลยล่ะ

มาว่ากันถึงคำตอบที่ค้างคาใจของหลายๆ คนกันบ้าง ในเมื่อมองไม่เห็น คนพิการทางสายตาจะออกเดินทางท่องเที่ยวกันไปทำไม คำตอบของคำถามนี้ง่ายมากคือ สาเหตุที่คนพิการทางการเห็นออกเดินทางท่องเที่ยวก็เป็นสาเหตุเดียวกันกับที่คนทั่วไปออกเดินทางท่องเที่ยวนั่นล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพื่อตามรอยซีรี่ส์ ตามรอยนิยาย หรือตามรอยความฝัน ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่ไม่พิการเลย การท่องเที่ยวกับการมองไม่เห็นอาจจะดูเป็นเรื่องยากที่จะไปด้วยกันได้ แต่เชื่อเถอะว่า คนที่มองไม่เห็นก็ต้องการออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปเรียนรู้โลกที่ไม่คุ้นเคย ฉันไม่ปฏิเสธว่า ในช่วงแรก ฉันเองก็มีความกังวลใจและความไม่เชื่อมั่นว่า คนที่มองไม่เห็นหรือมองไม่ชัดอย่างฉันจะออกเดินทางท่องเที่ยวได้จริงหรือ เราจะเสี่ยงไปทำไม แต่เมื่อฉันก้าวข้ามผ่าน ‘ความกลัวที่มองไม่เห็น’ ไปได้ ทำให้ฉันเข้าใจโลกมากขึ้นว่า นี่ก็เป็นหนึ่งชีวิตของตัวฉันเอง เป็นหนึ่งชีวิตที่เรามีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์เชื่อ มีสิทธิ์ฝัน และมีสิทธิ์ลงมือทำ ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่นักเดินทางที่มองไม่เห็นอย่างเพื่อนคนอื่นๆ ก็มีความรู้สึกเช่นนี้ไม่ต่างกัน

“ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเรามันสูญเสียไปแค่อย่างเดียว คือตา อย่างอื่นเราก็ยังรับรู้ได้จมูก ลิ้น กาย ใจ บางทีเราอาจจะสามารถสัมผัสเสียงนกร้องได้ดีกว่าคนตาดีทั่วไปด้วยซ้ำ” ปร พี่ใหญ่ในแก๊งค์เราให้ความเห็นพร้อมเพิ่มเติมด้วยว่า “มันก็คือความสุขในสไตล์ของเรานะ”

“ไปเที่ยวมันก็จะได้สัมผัสเอง อย่างล่องเรือมันก็จะได้สัมผัส กิจกรรมอะไรอย่างนี้ ได้ไปกับเพื่อนอะไรอย่างนี้ คือมันไม่ใช่ว่าเที่ยวแล้วต้องเห็นอย่างเดียว” แมวให้ความเห็นพร้อมเพิ่มเติมด้วยว่า “มันเหมือนถ้าเราได้ไป เราจะกล้าไปที่อื่นมากขึ้น”

เพื่อนร่วมทริปที่ชอบกระโดดน้ำเป็นชีวิตจิตใจของแก๊งค์เราให้ความเห็นว่า

“คือถ้าเราไม่ไปเที่ยว เราจะได้ฟังจากแค่คำพูด เราอาจจะจินตนาการหรือมันก็คงได้อีกอารมณ์หนึ่ง แต่มันก็คงจินตนาการได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าเราฟังเรื่องราวจากคนอื่น แต่ถ้าเราไปเรามีความรู้สึกว่า เราเข้าถึงได้มากกว่า” อาร์มกล่าวและเพิ่มเติมอีกว่า “แต่อย่างหนึ่งที่เห็นทั้งตัวเองและทั้งกลุ่ม มีความรู้สึกว่าคือ ตอนแรกไม่ว่าจะเป็นเราเองหรือคนอื่นค่อนข้างจะมีความกลัวเวลาจะไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ บางอย่าง แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็สามารถที่จะกล้าสัมผัสมันได้ พอเรากล้าแล้ว มันก็จะกล้าไปกับที่อื่นๆ ด้วย”

“ถ้าเราฟังคนอื่นพูด เราก็มโนไป เราก็ไม่รู้ว่ามโนจะถูกไหม  ถูกตามที่ว่าเราไปจริงไหม เหมือนที่ว่าคนที่ไม่เคยไปเที่ยวทะเล อยากไปเห็นทะเล แต่ว่า ฟังคนอื่นพูด เขาอาจจะพูดไป มันเหมือนจริงไหม น้ำทะเลมันเค็มไหม  (หัวเราะ) มันก็เหมือนกับที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นก็ไม่เท่าสัมผัส” คำแก้วกล่าว

ในทรรศนะของคนนำทางตาดีหนึ่งเดียวของพวกเรา ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกของบุ๋มเช่นกันที่มีโอกาสได้ท่องเที่ยวและใช้ชีวิตร่วมกับคนตาบอด บุ๋มเปิดใจว่า ตนเองมีความกังวลมากที่ต้องนำทางคนตาบอดและตาเลือนราง แต่เมื่อได้มาพบกันและปรับตัวเข้าหากัน บุ๋มเองก็ค่อยคลายใจลง ต้องยอมรับเลยว่า พี่สาวตาดีคนนี้เป็นกำลังหลักที่ทำให้ทริปเที่ยวลาวของพวกเราสมบูรณ์แบบและน่าประทับใจมาก การช่วยเหลือแบบไม่มากไม่น้อยเกินไปบวกกับความเข้าใจระหว่างพี่สาวตาดีกับพวกเราที่มองไม่เห็น ทำให้การท่องเที่ยวไม่มีช่องว่างของความพิการเข้ามาบดบังความสุขของการเดินทางเลย

“จริงๆ แล้วการท่องเที่ยวมันไม่ได้จำกัดสิทธิ์บุคคล ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรารักการท่องเที่ยว เรามีการเตรียมตัว เรามีการศึกษาหาข้อมูล แล้วก็มีการท่องเที่ยวที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นการผจญภัยที่มากเกินไป หรือมีความเสี่ยงมากเกินไป ก็สนับสนุนคนตาบอดหรือคนสายตาเลือนรางจะมีโอกาสได้สัมผัสการท่องเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่จะเป็นการฟังจากการบอกเล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แล้วก็ความพร้อมของร่างกายในด้านอื่นๆ ด้วย” บุ๋มกล่าว

อันที่จริงแล้ว การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ที่เราไม่เคยไปหรือเพียงแค่เคยอ่านจากหนังสือ มันก็คือการเรียนรู้ และการสะสมประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่คนตาบอดหรือตาเลือนราง เราอาจสูญเสียการมองเห็นไป แต่การท่องเที่ยวก็ไม่ได้ใช้เพียงแค่สายตาเท่านั้นไม่ใช่หรือ ความสุขและความแปลกใหม่ที่คนมองไม่เห็นได้รับจากการท่องเที่ยว มันเหมือนกับการ ‘เติมไฟให้ชีวิต’ คือความสุขรูปแบบหนึ่งที่ไม่ว่าคนพิการหรือคนไม่พิการก็ปรารถนาจะได้สัมผัสเช่นกัน

“คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ ทุกคนมีความสามารถเฉพาะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนสายตาปกติ สายตาบอด หรือว่าสายตาเลือนราง ทุกคนมีสิทธิ์และมีโอกาสในการเรียนรู้ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ไม่ควรจะปิดโอกาสในการเรียนรู้ของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องการท่องเที่ยว หรือด้านไหน” บุ๋มกล่าว

ความฝันเล็กๆ ในการออกเดินทางครั้งแรกของแก๊งค์ We fly together สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่การท่องเที่ยวทริปสุดท้ายของพวกเราแน่ ตอนนี้เตรียมเซิร์ชข้อมูลจาก Google อ่านรีวิวในเว็บ Pantip หาตั๋วเครื่องบินที่ราคาตรงใจ แล้วเราจะออกเดินทางกันอีกครั้งอย่างแน่นอน!

 

ขอบคุณรูปถ่ายสวยๆ จากคำแก้วและบุ๋ม