Skip to main content

เมื่อฉันต้องไปตรวจสมรรถภาพปอด!  

คราวนี้เป็นรีเควสท์ของแม่กับหมอ เพราะฉันบอกแม่ว่าเวลาตื่นมากลางดึกแล้วเหนื่อยกว่าแต่ก่อน แม่เลยปรึกษาหมอปอดว่าอยากให้ฉันลองเทสต์ดูสักครั้ง ฉันเคยทำมานานมากแล้วตอนเด็กก็เลยชิลๆ ไม่ซีเรียสอะไร

เมื่อไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าแผนกปอดผู้ใหญ่ (ระบบหายใจผู้ใหญ่) ดูจะแตกต่างกับแผนกปอดเด็ก (คำเรียกติดปากของฉัน)แฮะ นอกจากเข้าไปในห้องจะเจอแต่คนไข้ผู้ใหญ่ค่อนไปทางสูงวัยแล้ว ฉันยังแอบตกใจกับเสียงเจ้าหน้าที่ที่คอยดูคนไข้เหล่านั้นที่สูดและเป่าลมแรงออกมาใส่ท่อ เจ้าหน้าที่ช่วยบิวด์อารมณ์ และช่วยลุ้นเสียงดังทีเดียว ผิดจากความทรงจำของฉันในแผนกเด็กที่มักเป็นเสียงพูดคุย หยอกล้อ หลอกล่อ ฯลฯ ดังนั้นพอตอนเขาบอกให้แม่ฉันออกไปรอข้างนอก ฉันจึงแอบน้ำตาเล็ด (ตามประสาลูกแหง่) ทันที

แม้จะเศร้าเคล้าน้ำตา แต่โชคก็ยังช่วยที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลฉันดูจะใจดี (ยังสาวและน่ารัก) ช่วยชวนคุยให้หายตื่นเต้นได้บ้าง เขาบอกว่า เนื่องจากฉันไม่สามารถยกแขนได้จึงให้ทดสอบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ข้างนอกเท่านั้น เพราะการทดสองอีกแบบหนึ่งฉันจะต้องอยู่ในห้องคนเดียวเพื่อจับอุปกรณ์และทำตามที่เจ้าหน้าที่บอก เอาล่ะ! เริ่มด้วยเจ้าหน้าที่ทำการวัดส่วนสูงจากปลายนิ้วมือข้างหนึ่งจนถึงปลายนิ้วมืออีกข้างหนึ่ง ใส่ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ และให้ฉันสูดหายใจลึกและเป่าลมออกทางปากแรงๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมที่เหลือ (ซึ่งฉันไม่เหลือแล้วล่ะ ฮ่า) ลากยาว นับเป็นการซักซ้อมก่อนจะถึงของจริง  

ท่อที่ฉันต้องเป่าลมใส่คล้ายแกนทิชชู่ มีสายยาวต่อเข้ากับคอม แปลกที่มันไม่เหมือนกับที่ฉันเคยทดสอบสมัยเด็ก ตอนนั้นท่อทดสอบเป็นเหมือนท่อกระบอก มีลูกกลมๆ อยู่ข้างในและจะลอยขึ้นหากเป่าลมใส่กระบอก มีขีดวัดความสูงของลูกนั้นคล้ายกับมาตรวัดของปรอท พอเป็นคอมพิวเตอร์ ฉันเลยสงสัยว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีนั้นวิวัฒนาการขึ้นมัั้ง

เจ้าหน้าที่ให้ฉันสูดหายใจเข้าก่อนเป่าลมใส่ท่อนั้นตามที่ซ้อม ฟรื้ดดด...ฉันเพ่งมองหน้าจอ พลางลุ้นผลงานตัวเอง แต่กลับเห็นเส้นกราฟในคอมพิวเตอร์ที่แทบจะไม่กระดิกเลย แป่ว...

พอกราฟไม่กระดิก เจ้าหน้าที่ก็คิดว่า ท่อนั้นใหญ่เกินไปสำหรับฉัน จึงเปลี่ยนหัวเป่าจากหัวกลม เป็นแบน ลักษณะคล้ายปากกระบอกไดร์เป่าผม ฉันคิดว่าโอเคกว่าเดิม เอาล่ะ ลองเป่าใหม่ "ฮ่อ! ฮู่..." ฉันเป่าใส่มันสุดแรง ฉันเป่าเข้าไปได้ แต่ไม่สามารถประคองลมหายใจให้อยู่ต่อได้นาน เพียงแค่เป่าเข้าไปทีแรกก็หมดลมแล้ว พอแอบหายใจเจ้าหน้าที่ก็รู้ พอฉันเป่าอย่างนี้อีก 3-4 หน เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจว่าทำได้เท่านี้เพราะกลัวฉันจะเหนื่อยเกินไป

ฉันเอาผลการทดสอบนั้นกลับไปให้หมอดู หมอนั่งดูผลในกระดาษพร้อมกับทำหน้าปลง และถามฉันกับแม่ว่า หมออีกคนได้คุยอะไรด้วยหรือยัง ฉันเลยรู้สึกว่าต้องมีข่าวไม่ดี จึงตอบไปแบบยิ้มๆ ว่าคุยแล้วค่ะ ที่ยิ้มเพราะฉันแอบได้ยินหมอ "คุย" กับแม่มาตั้งแต่เด็ก ทั้งต่อหน้าและแอบฟัง ฉันรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป อยากรู้ว่าผลเป็นยังไง ขอฟังให้ภูมิใจที่ไปเป่ามาหน่อย แต่สุดท้ายก็พูดเรื่องอื่นกันจนลืมถาม

กระทั่งต้นเดือนนี้ฉันไปหาอีกหมอตามนัด มีโอกาสถือแฟ้มตัวเองเพื่อไปฉีดยา แหม เอาซะหน่อย คาใจมานาน ฉันแอบถ่ายรูปผลเทสต์ปอดวันนั้นจากในแฟ้ม


ผลการตรวจปอดของเพทาย

เห็นคนในห้องสวนลุมฯ เว็บไซต์พันทิป ตั้งกระทู้ถามผลเลือดบ้าง ผลเอ็กซเรย์บ้าง ฉันก็สองจิตสองใจว่าจะถามบ้างดีไหม สุดท้ายก็พ่ายแพ้ความอยากรู้ เอารูปที่ถ่ายมาไปตั้งกระทู้จนได้ แล้วก็ได้รู้สมใจเมื่อมีบางคนมาตอบ ฉันอ่านซ้ำ 2-3 รอบให้แน่ใจว่าเข้าใจแน่ๆ คิดว่าเข้าใจอยู่นะ

การหายใจออกของฉัน = 10% ของลมหายใจในครั้งหนึ่งๆ นี่ทำให้ฉันนึกย้อนไปว่าฉันเคยมีค่าคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) ในเลือดสูงเมื่อตอนเด็กจนเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะหายใจออกคายคาร์บอนไดฯ ได้น้อย คนในพันทิปยังให้คำอธิบายอีกหลายเรื่องที่ล้วนตรงกับตัวฉัน ทั้งที่ฉันไม่ได้บอกไปในกระทู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ฉันจึงเชื่อในคำตอบต่างๆ ที่ได้ เป็นอันว่าหายข้องใจ

แถมด้วยภาพประกอบที่เขาโพสต์ไว้ในกระทู้ รูป H คือปอดของคนเป็นโรคอย่างฉัน มันช่างเหมือนถั่วน้อยซะนี่กระไร เห็นแล้วฉันก็ภูมิใจกับมันที่ทำให้ฉันหายใจมาได้ทุกวัน ถึงจะวันละประมาณ 4 ชม. และอีก 20 ชม. ที่เหลือจะต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจก็เถอะ


ปริมาณความจุปอดของคนทั่วไปเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ

เพทาย มีภาวะของโรคเส้นประสาทไขสันหลังเสื่อม (Spinal Muscular Atrophy: SMA) ปัจจุบันเธอขยับร่างกายได้เพียงแค่ช่วงหัวไหล่ และนิ้้วชี้ด้านซ้าย และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจชนิด Bi-pap เกือบตลอดเวลา (ยกเว้นเวลาที่ออกไปแฮงเอาท์กับเพื่อน)