Skip to main content

วีนัสเทพเจ้าแห่งความงาม ที่เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นเทพีแห่งความงาม กลับโดนหญิงสาวโลกมนุษย์อย่าง 'ไซคี' เทียบชั้น ความริษยาจึงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสั่งให้คิวปิด ลูกชายของเธอจัดการกับไซคีจนไม่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของความงามได้อีก

เทพวีนัสมองไปที่แท่นบูชาของตนและบริเวณโดยรอบ ให้รู้สึกแปลกใจที่เห็นแท่นหินสลักอันวิจิตรโล่งร้างว่างเปล่า มีเพียงช่อมะกอกเหี่ยวแห้งและดอกไม้ป่าที่ใบแทบจะร่วงโรยไปหมดแล้ววางอยู่ 2-3 กำ บ่งบอกว่าคงเป็นเวลาสักพักใหญ่แล้วทีเดียวที่ใครสักคนได้นำสิ่งของบูชาเหล่านี้มาสักการะนาง โดยปกติวิสัย แท่นบูชาแห่งวิหารวีนัสจะต้องมีถาดใส่ผลไม้สดนานาชนิดวางเรียงราย เหล้าองุ่นหลากพันธุ์ในคนโทเงินขัดจนขึ้นเงา รวมถึงอาภรณ์แพรไหม เครื่องประดับชิ้นน้อยใหญ่ที่ชาวกรุงโรมแทบจะทุกชนชั้นจะนำมามอบให้เทพีแห่งความงามและความรัก พร้อมสวดคำกล่าวบูชาและอธิษฐานขอพร และทุกๆ ครั้งที่มนุษย์มากราบไหว้นางที่วิหาร ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องเอ่ยขานนามของวีนัสและกล่าวสรรเสริญกิตติศักดิ์ของเทพีแห่งความงามองค์นี้ทุกครั้ง ไม่แปลกที่โลกมนุษย์จดจำและรับรู้มาช้านานว่าหากพูดถึงความงามที่เลอเลิศหาใครเปรียบไม่ได้ จำเป็นต้องกล่าวถึงชื่อของวีนัสมาเป็นอันดับแรก


ภาพ อิศเรศ เทวาหุดี

ด้วยฌานหยั่งรู้ และหูทิพย์ของนางซึ่งได้ยินเสียงเพลงขับกล่อมจากบรรดาชายชาวโรมันทั้งหลาย มีทั้งชายหนุ่มโสด หรือแม้แต่บุรุษที่มีคู่แล้วอยู่เป็นตัวตนต่างกำลังร้องเพลงเกี้ยวและบรรยายความงามของหญิงสาวชาวโลกคนหนึ่งนามว่า “ไซคี” (Psyche) ซึ่งเป็นธิดาองค์เล็กสุดในบรรดาธิดาสามองค์ของกษัตริย์เมืองเล็กแห่งหนึ่ง ด้วยความอับอายและความรู้สึกที่ถูกดูหมิ่น เพียงแค่หญิงสาวพรมจรรย์ ไร้ซึ่งชีวิตอมตะอย่างไซคีจะมา “บังอาจ” เทียบเกียรติของเทพีผู้มีชีวิตอมตะและเป็นชายาของ ‘เอเรส’ หรือเทพอังคารแห่งสงคราม และในหลายๆ เวลาเธอก็เป็นคู่รักเอกของ ‘วุลแคน’ เทพเจ้าแห่งไฟ แน่นอนว่าด้วยความงามระดับที่ไม่มีใครเทียบเท่า เธอก็ยังมีคู่รักเป็นทั้งมนุษย์และเทพอยู่ในหลายๆ ที่ไปทั่วโอลิมปัส ความคิดที่ว่าจะมีความงามใดบนโลกมนุษย์มาเทียบชั้นของเทพีวีนัสเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และเธอก็ไม่ยอมรับมัน ความอิจฉาริษยาและความแค้นก่อตัวขึ้นในใจเทพผู้เลอโฉมซึ่งเป็นผู้คุ้มครองรักษาคุณค่าแห่งความงาม ความรื่นรมย์ อารมณ์รักใคร่หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘กามรมย์’ อันประกอบด้วยรัก โลภ โกรธ หลงเป็นกิเลสที่ฝังไว้อยู่ในมนุษย์และทวยเทพทั้งหลายในโอลิมปัส เธอคิดว่าเธอจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อจะจัดการกับเรื่องนี้ ใจพลางนึกไปถึงบุตรของนาง ผู้มีไหวพริบเฉลียวฉลาด ที่สำคัญยังเป็นความฉลาดที่แฝงความเจ้าเล่ห์และอารมณ์ขันของเทพผู้ไม่มีภาระใดๆ ต้องรับผิดชอบ เทพบุตรองค์นี้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวด้วยปีก และมีศาสตราวุธเป็นคันธนู บัดนี้ “คิวปิด” ก็ย่างเข้าวัยหนุ่มแล้ว เห็นทีนางจะต้องเรียกคิวปิดมาหาสักหน่อย

ด้วยจิตที่ส่งคำนึงไปถึง เพียงไม่พ้นลมหายใจที่สาม เทพคิวปิดก็มาปรากฏองค์เบื้องหน้าวิหารอันรกร้างว่างเปล่า เทพีแห่งความงามบอกเล่าถึงสถานการณ์ให้ลูกชายของนางฟังด้วยน้ำตานองหน้าและขอร้องให้คิวปิดทำให้นางสมหวัง “ลูกชายของแม่” นางกล่าว “ได้โปรดลงโทษหญิงชาวโลกคนนี้ให้ได้สำนึกผิดที่หมิ่นเกียรติของข้าด้วย ความงามและเกียรติของข้า แม้แต่มหาเทพซุสเองก็เป็นผู้รับรอง ไม่ควรมีใครมาลบล้างทำลายอาญาสิทธิ์แห่งความจริงนี้ ท่านคงไม่อยากให้ข้า ซึ่งเป็นมารดาของท่านต้องถูกย่ำยีเจ็บช้ำแบบนี้ใช่หรือไม่”

---

คิวปิดในวัยหนุ่ม แม้เป็นที่รู้กันว่าเป็นองค์เทพที่มีความขี้เล่นเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อได้ยินดังนั้นก็หวังที่จะทำตามประสงค์ของมารดา แม้ในใจของท่านตามประสาบุรุษ จะคิดว่ามารดาผู้เลอโฉมของตนออกจาก “คิดมาก” ไปก็ตาม เมื่อพูดคุยกันจนรู้ความ คิวปิดเดินไปในสวนสวยของเทพวีนัสในบริเวณใกล้เคียง เพื่อนำขวดแก้วเล็กๆ ไปเติมน้ำจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ บ่อหนึ่งเป็นน้ำอมฤทธิ์ที่มีรสหวาน ในขณะที่อีกบ่อเป็นของเหลวที่มีรสขมเขื่อน จากนั้นคิวปิดก็ไปปรากฏกายในห้องนอนของไซคีในคืนวันเดียวกันนั้นเอง

แสงจันทร์นวลสาดส่องลอดช่องหน้าตาที่เปิดไว้รับลมเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวชาวโลกที่เป็นต้นเหตุให้มารดาของตนขุ่นข้องหมองใจ คิวปิดพิเคราะห์ใบหน้าของหญิงสาวนามว่าไซคี รู้สึกหัวใจของเทพหนุ่มที่เริ่มสั่นไหวอยู่ในกายอย่างแปลกประหลาด มือพลางจับคันศรและลูกดอกอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นศาสตราวุธที่พระองค์เป็นผู้เชี่ยวชาญใช้มาตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อให้มนุษย์ –ที่บางครั้งพระองค์เรียกเล่นๆ ว่า เป็นพวก ‘หน้าโง่’ – ตกอยู่ในห้วงของความรัก และแผนการ ‘กามเทพแผลงศร’ ของพระองค์จักเป็นต้องเห็นผลอย่างดีที่สุด เพราะมนุษย์หน้าโง่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเพศไหน อายุเท่าไหร่ อาชีพอะไรก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อสนองตัณหาที่เกิดขึ้นในใจ ที่พวกเขาเข้าใจกันไปเองว่าคือ “ความรัก”

มาบัดนี้แม้ใจของคิวปิดจะหวั่นไหว แต่ก็ไม่อาจฝืนคำสั่งของมารดาก็เร่งรีบแตะหยดน้ำจากบ่อน้ำพุที่มีรสขม 2-3 หยดไปที่ริมฝีปากของไซคีผู้หลับใหล และใช้ลูกดอกแตะเบาๆ ที่ซี่โครงด้านซ้ายของนาง ทันใดนั้นไซคีก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ และจ้องไปในความว่างเปล่าที่รู้สึกเย็นยะเยือกเบื้องหน้า เพราะดวงตาของมนุษย์ไม่อาจสามารถมองเห็นองค์เทพได้ หากเทพนั้นไม่ประสงค์จะปรากฏกายให้เห็น คิวปิดสะดุ้งไหวเพราะดวงตากลมโตสีเขียวมหาสมุทรของไซคี จึงเผลอทำลูกดอกบาดตัวเอง พระองค์เกิดใจสงสารนางมนุษย์สาวผู้นี้ จึงตัดสินใจถูมือด้วยน้ำอมฤทธิ์รสหวานและสัมผัสไปที่ลอนผมสีทองของนาง ก่อนจะบินจากไป

นับตั้งแต่วันนั้น แม้คำสรรเสริญเยินยอในความงดงามของไซคี ยังไม่ได้ลดลง แต่ความงามของนางกลับเป็นสิ่งที่ไร้ค่าและไม่สร้างประโยชน์อันใด เพราะกลับไม่มีบุรุษคนใดในเมืองปรารถนาที่จะแต่งงานกับนางแม้เจ้าชายต่างเมืองที่เคยประสงค์อยากได้นางเป็นชายา มาบัดนี้ก็ถอนคำพูดไปเสียหมด เมื่อเทียบกับพี่สาวสองคนของไซคีที่แม้จะมีรูปโฉมไม่สวยเท่านาง แต่ก็แต่งงานออกเรือนไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวไซคีเองก็ไม่ได้มีใจตอบรับความรักจากชายหนุ่มรอบๆ ตัวนาง ร้อนถึงบิดาและมารดาของไซคีที่เกิดความกลุ้มใจและห่วงใยในลูกสาวคนเล็ก ทั้งสองจึงได้ไปขอคำปรึกษาที่วิหารของเทพอพอลโล ผู้ปราดเปรื่องและเป็นดั่งผู้นำสารของเทพซุส ได้รับคำตอบดั่งว่า “หญิงสาวพรมจรรย์ผู้นี้ต้องชะตาสมรักกับคู่ที่ไม่ได้มีชีวิตเยี่ยงมนุษย์ บุรุษผู้นั้นรอนางอยู่บนเทือกเขาโอลิมปัส เขาเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีมนุษย์หรือเทพองค์ใดต้านทานได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น กษัตริย์ผู้พ่อก็เศร้าเสียใจ คิดว่าลูกสาวคงจะต้องมีชะตาร่วมกับอสูรกายร้ายเป็นแน่ แต่ไซคี ผู้กล้าหาญและมีหัวใจที่อ่อนโยนได้ปลอบประโลมพ่อแม่ของนางและอาสาที่จะเป็นเครื่องบูชายัญทวยเทพที่เขาโอลิมปัสเอง ด้วยความรู้สึกผิด นางกล่าวคำสุดท้ายด้วยใจเศร้าหมอง “หลายๆ บุรุษได้กล่าวนามข้าเทียบเคียงกับเทพีวีนัส เหตุนี้เองที่อาจทำให้เทพีไม่พอใจข้า ข้าเปรียบเหมือนเหยื่อของความงามที่มนุษย์สรรเสริญ พาข้าไปรับชะตากรรมตามที่เทพได้ลงทัณฑ์ข้าไว้เถิด”

# # # # #

ไซคีค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนแท่นที่ปูด้วยแพรไหมอย่างดี วิหารที่เธออยู่ไม่เหมือนกับวิหารของเทพต่างๆ ที่นางเคยเห็น แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายเหมือน ‘บ้าน’ และมีเสียงคลอของดนตรีดังแว่วมาให้ได้ยินตลอด เธอถูกรายล้อมด้วยข้ารับใช้ที่คอยดูแล หาเครื่องแต่งกายและอาหารชั้นเลิศมาให้นาง แต่ไซคีไม่อาจ “มองเห็น” ข้ารับใช้เหล่านั้น นางเพียงแต่ได้ยินเสียงและของที่นางประสงค์ ก็จะถูกเนรมิตขึ้นมาตรงหน้า ทั้งเนื้อแกะอย่างดี ผลไม้รสหวานและเหล้าองุ่นที่มีรสเลิศอย่างที่นางไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน

นับตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้รับรู้ว่า “คู่” ของนางมีตัวตนจริง เพราะบุรุษผู้นั้นจะมาใช้ “ชีวิตคู่” กับนางเมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว และจากไปก่อนรุ่งสาง นางได้ใช้ชีวิตอยู่ในวิหารที่เหมือนดังสถานที่บนสวรรค์นี้อย่างสุขกายสบายใจ และรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่สิ่งหนึ่งที่กวนใจนางอยู่ลึกๆ คือ นางไม่เคยได้ “เห็น” หน้าของสามีที่โชคชะตานำพาให้ได้มาเจอกันคนนี้เลย แม้นางจะพยายามร้องขอให้เขาผู้นั้นอนุญาตให้นางได้เห็นหน้า ด้วยการจุดตะเกียงในห้องหอ แต่บุรุษผู้นั้นได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและอบอุ่นว่า “เพราะเหตุใด การมองเห็นข้าถึงสำคัญนัก ท่านสงสัยในความรักของข้าหรือ หรือมีสิ่งไหนที่ท่านอยากได้และข้ายังไม่ได้หามาให้ หากท่านเห็นข้า ท่านอาจจะกลัวข้า หรืออาจจะรักเทิดทูนข้าก็ได้ สิ่งที่ข้าขอ มีเพียงอย่างเดียว คือ ความไว้ใจและเชื่อมั่น ขอให้ท่านรักข้าอย่างผู้เท่าเทียม ไม่ใช่บูชาข้าเหมือนเทพ”

เหตุผลดังกล่าวทำให้ไซคียอมจำนนอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ด้วยนิสัยสงสัยใคร่รู้ตามธรรมชาติของหญิงสาว ประกอบกับคำพูดของพี่สาวของนางที่บัดนี้ออกเรือนไปแล้ว และไซคีก็ได้มีโอกาสต้อนรับพี่สาวที่วิหารสวรรค์ของนาง หลังจากที่สามีของนางอนุญาต ด้วยเหตุที่กลัวว่าไซคีจะเหงา เมื่อบรรดาพี่สาวของไซคีเข้ามาเห็นสถานที่วิเศษดุจสวรรค์ ก็เกิดความอิจฉาน้องสาวคนเล็กอยู่ในใจ จึงได้ให้คำแนะนำที่เจือความประสงค์ร้ายอยู่ในทีว่า “น้องจำคำพูดของเทพอพอลโลได้หรือไม่ ที่ว่าคู่ของน้อง ‘ไม่ได้มีชีวิตเยี่ยงมนุษย์’ น้องไม่กลัวหรือว่าคนที่เจ้าเรียกว่า สามี อาจจะเป็นสัตว์ร้ายหรืองูร้ายที่พร้อมจะฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ เชื่อพวกเราเถิด ในคืนหนึ่ง น้องจงนำกริชนี้ติดตัวไปและจุดตะเกียงกลางดึกเพื่อดูหน้าชัดๆ ของผู้นี้ หากเป็นอสูรกายร้าย จงใช้กริชนี้ปลิดเศียรมัน และน้องจะได้รับอิสรภาพ”

ไซคีเก็บคำพูดของพี่สาวของนางมาคิดอย่างจริงจัง จิตใต้สำนึกของนางกำลังปั่นป่วนด้วยคำแนะนำที่ก่อความกลัวขึ้นในใจของนาง ความรู้สึกนึกคิดและจิตใต้สำนึกแบบมนุษย์โลกของนางบอกว่าเธอจะต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาของตัวเอง ในขณะที่อีกใจก็เกิดความเกรงกลัวเพราะรู้ว่าการพยายามเห็นหน้าของสามีนางเป็นสิ่งที่เขาไม่ประสงค์

ท้ายที่สุด ไซคียอมจำนนต่อเสียงในจิตใต้สำนึกของเธอ คืนหนึ่งขณะที่สามีผู้เป็นที่รักกำลังหลับใหล นางได้คว้าตะเกียงที่วางอยู่หัวเตียงและจุดไฟขึ้นมา ก่อนจะนำไปที่บริเวณดวงหน้าของสามี ด้วยมือที่สั่นเทา ทำให้น้ำมันตะเกียงหยดลงบนไหล่ขวาของสามีเธอ

บุรุษผู้นั้นตกใจตื่นและลืมตาโพลงขึ้นทันที ก่อนจะดีดกายออกจากที่นอนและแผงปีกของเทพก็สยายออกมาจากกระดูกไหล่ จิตใต้สำนึกของไซคีบอกนางว่า เธอเคยพบเขามาก่อน แม้ไม่เคยเห็น แต่เธอจะต้องเคยพบเขาแน่ๆ

“โอ้ ไซคี นี่คือวิธีที่ท่านตอบแทนข้าหรือ ข้าเลือกที่จะขัดคำสั่งมารดาของข้า คือ เทพวีนัสและร้องขอเลือกท่านมาเป็นภรรยา ท่านช่างเขลานักที่คิดว่าข้าจะเป็นอสูรการร้ายจะทำร้ายท่าน กริชในมือนั้นท่านจะฟันคอข้าให้ขาดใช่หรือไม่ ท่านจงกลับไปหาพี่สาวของท่านที่ให้คำแนะนำนี้เถิด ข้าไม่หวังจะลงโทษท่านแต่อย่างใด นอกจากจะให้อิสระและจากท่านไปตลอดกาล ความรักไม่ใช่สิ่งที่เห็นด้วยตาแล้วจะรัก ความรักไม่สามารถอยู่บนความสงสัยหรือไม่เชื่อใจได้”

เมื่อกล่าวใคร่ครวญจบ เทพคิวปิดก็บินหนีหายออกจากทางหน้าต่าง ลับไปกับแสงจันทร์ที่ค่อยๆ หายไปเพราะกลุ่มเมฆดำที่ลอยมาบดบัง

# # # # #

ไซคี (Psyche) มีความหมายว่า “จิตใจ” ในทางจิตวิทยาแล้วคำว่าไซคี ถูกนำมาใช้ในความหมายของ “จิตใต้สำนึก” หรือความรู้สึกรับรู้ทางจิตที่อาจได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ ตามตำนานเทพเจ้ากรีกและโรมันโบราณ ไซคี คือ ชายาของเทพคิวปิด (หรือ เอรอส เทพเจ้าแห่งความรัก) และเป็นเรื่องราวที่ใช้บอกเล่าถึงความไม่ไว้ใจในความสัมพันธ์และการขัดแย้งกันระหว่างความรู้สึกทางด้านอารมณ์ และการสัมผัสและรับรู้ทางกาย อย่างในกรณีนี้คือ ดวงตา มีความขัดแย้งกันอยู่ระหว่างเรื่องราวของเทพคิวปิดที่มักจะถูกวาดภาพให้เป็นเทวดาตัวน้อยและมีผ้าผูกตา เพื่อสะท้อนถึงแนวคิด “ความรักทำให้คนตาบอด” หรือในขณะเดียวกันก็อาจมองได้ว่า ความรักต้องอาศัยความเชื่อใจและมองเห็นด้วยใจ ไม่ใช่ดวงตาหรือการตัดสินกันที่ภายนอก ในขณะที่ไซคี เป็นตัวแทนทางด้านจิตใจ ที่ตกอยู่ภายใต้อารมณ์ความนึกคิดที่ปรุงแต่งด้วยจิต ประกอบกับโชคชะตาชีวิตของเธอที่มีความสัมพันธ์ที่ “มองไม่เห็น” 

            กวีชาวโรมัน ลูเชียส แอพูลีอุสได้เล่าตำนานโชคชะตาของไซคีและคิวปิดว่า หลังจากการหักหลังและการกระทำที่ไม่เชื่อใจของไซคีครั้งนี้แล้ว นางได้ไปขอขมาเทพวีนัส เทพวีนัสได้ “ทดสอบ” ความรักของนางที่มีต่อบุตรชายเธอด้วยการให้เธอทำงานที่ยาก ที่เรียกว่า “เกินมนุษย์” จะทำได้ เช่น คัดแยะและเรียงเมล็ดธัญพืชหลายประเภทให้เสร็จภายในหนึ่งวัน หรือไปถอนขนเป็ดทองที่จะต้องข้ามแม่น้ำที่อันตราย หรือแม้แต่ลงไปยมโลกเพื่อนำกล่องที่บรรจุ ‘ความงาม’ ไปมอบให้เทพียมโลก นามว่า โพรเซอร์พีนา แต่วีนัสห้ามไม่ให้ไซคีเปิดดูในกล่องจนกว่าจะส่งมอบเสร็จ เมื่อนางลงไปถึงยมโลกแล้ว ไซคีผู้ไม่อาจต้านทานความอยากรุ้อยากเห็นของจิตใจได้ จึงแอบเปิดกล่องดู กลับไม่พบความงามในกล่อง แต่เป็น ‘เทพแห่งความหลับใหล’ ที่ทำให้นางหลับไปตลอดกาล

            ท้ายสุด เทพคิวปิดฟื้นจากอาการบาดเจ็บและลงไปรับร่างที่หลับใหลของไซคี คิวปิดได้ไปอ้อนวอนขอให้เทพซุสมอบชีวิตอมตะให้ไซคี และทั้งคู่ก็ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้งและเป็นตำนานความรักอมตะ ไซคีและคิวปิดให้กำเนิดบุตรสาวนามว่า Pleasure (หรือ Voluptas ในชื่อโรมัน บางชื่อก็เรียก Hedone ซึ่งเป็นต้นคำของ คำว่า hedonism แปลว่า สุขนิยม)